ผู้เขียน หัวข้อ: motor show 2025: JY AIR Standard ขับสนุกช่วงล่างนุ่มไปหน่อยแต่ค่าตัวสุดคุ้มแค่ 7  (อ่าน 67 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 355
    • ดูรายละเอียด
motor show 2025: JY AIR Standard ขับสนุกช่วงล่างนุ่มไปหน่อยแต่ค่าตัวสุดคุ้มแค่ 759,000 บาท

ลองขับ JY AIR (JuneYao) รุ่นเริ่มต้น Standard รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงเกินราคา ได้ทั้งพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 201 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลังแบตฯ 51 kWh ระยะทางวิ่งได้ 430 กม. และยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นความสะดวกสบายและความปลอดภัยอีกมากมาย จ่ายเพียง 759,000 บาท ได้สิทธิ์ตั๋วบินฟรี 4 ใบต่อปี นาน 3 ปี กับสายการบินจูนเหยา แอร์ไลน์ !!!

JY AIR รถยนต์ไฟฟ้าในเครือเดียวกับบริษัท จูนเหยา กรุ๊ป (JuneYao Group) บริษัทแม่ของสายการบินจูนเหยา แอร์ไลน์ (JuneYao Airlines) หนึ่งในสายการบินเอกชนชั้นนำในประเทศจีน เดินหน้ารุกตลาดรถยนต์เมืองไทย เปิดตัว “JY AIR” ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นแรก นำเสนอรูปแบบใหม่ของการเดินทาง ด้วยอีกขีดขั้นของเทคโนโลยีการขับเคลื่อน ซึ่งพร้อมตอบรับกระแสความต้องการของผู้ขับขี่ยุคใหม่ ด้วยการผสมผสานนวัตกรรมการขับขี่ล้ำสมัย เพื่อสร้างความสะดวกสบายเหมือนอยู่บนสายการบินระดับ First Class
 
ทริปนี้ลองขับจริงบนเส้นทางกทม.-พัทยา จากจุดเริ่มต้นที่ Parc Bangna คอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ ย่าน บางนา – ศรีนครินทร์ ก่อนมุ่งหน้าสู่ แลนด์มาร์คใหม่แห่งเมืองพัทยาแบบ Free Run เพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ณ “Castello Di Bellagio” (แคสเทลโล ดิ เบลลาจิโอ้) ร้านอาหารสไตล์เวสเทิร์น ที่น่าโดดเด่นด้วยรสชาติอาหาร ท่ามกลางบรรยากาศปราสาท ซึ่งมีแรงบันดาลใจในการสร้างจากประเทศอิตาลี ก่อนจะเดินทางแบบ Free Run อีกครั้ง เพื่อกลับสู่ PARC Bangna รวมเป็นระยะทางไป-กลับ ประมาณ 300 กม

รถยนต์ไฟฟ้า JY AIR ในทริปนี้มี 5 คัน ในสื่อมวลชนได้ทดลองขับขี่ โดยมีทั้งรุ่น Plus และหนึ่งในนั้นคือ รุ่นเริ่มต้น Standard ที่ทีมงานเช็คราคาจับสุ่มกุญแจได้มาทดลองในครั้งนี้ครับ ก่อนอื่นมาดูความแตกต่างของสเปคระหว่าง 2 รุ่นนี้
 
JY AIR รุ่น Standard
เริ่มจาก JY AIR รุ่น Standard ที่มากับขนาดความจุแบตเตอรี่ 51 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ให้พละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า (150 kW) วิ่งได้สูงสุด 430 กิโลเมตร (NEDC)  และ JY AIR รุ่น Plus ที่มากับขนาดความจุแบตเตอรี่ 64 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ให้พละกำลังสูงสุด 214 แรงม้า (160 kW) ระยะทางวิ่งสูงสุด 520 กิโลเมตร (NEDC)

JY AIR รุ่น Plus
และทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตร เท่ากันและสมรรถนะที่เร้าใจผ่านระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งทำอัตราเร่งจาก 0 -100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 170 กม./ชม.
 
ในรุ่น Standard การชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 70 กิโลวัตต์ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ในการชาร์จไฟจาก 30% ถึง 80%
ส่วนรุ่น  Plus การชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุดถึง 90 กิโลวัตต์ และใช้เวลาประมาณ 21 นาทีเท่านั้น สำหรับการชาร์จไฟจาก 30% ถึง 80%
 
การออกแบบด้วยแนวคิด “ONE BOX” ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องความกว้างขวาง สะดวกสบาย ผสมผสานกับงานดีไซน์ภายใต้หลักแอโรไดนามิกส์ ด้วยแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีอากาศยาน เช่น ช่องดักอากาศบริเวณกันชนหน้า และมุมกันชนหน้า ที่ลงตัวกับสปอยเลอร์ฝากระโปรง และบริเวณใต้กันชนหลัง รวมถึงงานออกแบบล้ออัลลอยด้วยลวดลาย Turbo Fan ซึ่งทั้งหมดช่วยให้ “JY AIR” มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำเพียง 0.23 cd เท่านั้น
ภายนอกภายใน JY AIR 2 รุ่นแตกต่างกันเล็กน้อย
JY AIR ทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น รุ่น Plus มาพร้อมหลังพาโนรามิค ล้ออัลลอย 19 นิ้ว กล้องตรวจจับความปลอดภัยบนหลังคาส่วนหลัง เป็นต้น ส่วนรุ่น Standard จะเป็นล้อขนาด 17 นิ้ว ส่วนภายในนั้นต่างกันในส่วนฟังก์ชั่นใช้งาน เช่น รุ่น Plus จะมีระบบแท่นชาร์จไร้สาย จอหมุนเอียงตามคนขับ ระบบกล้องตรวจจับตรวจใบหน้าผู้ขับขี่ช่วยตรวจสอบ เบาะปรับไฟฟ้าคู่หน้า เป็นต้น

ทุกฟังก์ชั่นใช้ผ่านจอกลาง...ง่ายอยู่นะ
การใช้งานระบบต่าง ๆ ของรถคันนี้ใช้งานผ่านจอกลางขนาด 15.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ทั้ง Apple Carplay, Android Auto, Bluetooth, บริการแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งการจะใช้งานระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะฟังก์ชั่นที่ใช้ประจำ ๆ อย่างการปรับกระจกมองข้าง, การเลือกเปิด-ปิดระบบเบรกมือไฟฟ้าหรือ Auto hold หรือแม้การเปิด-ปิดไฟหน้า เปิดกระโปรงท้าย เพียงแค่ปัดหน้าจอลงด้านล่างทุกอย่างก็รวมอยู่ในหน้านี้   

มาตรวัดคนขับขนาดเล็กแต่ก็พอมองได้ชัดเจนแสดงผลการทำงานต่าง ๆ ของรถยนต์และระบบช่วยเหลือการขับขี่ แม้รุ่น Standard นี้ ระบบความปลอดภัยจะเป็น ADAS แต่ยังไม่ถึงขั้น Level 2  แต่ก็นับว่ามีให้ครบเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว โดยระบบที่สำคัญ ๆ ก็คือ การช่วยเตือนการชนด้านหน้า เตือนออกนอกเลน เป็นต้น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเตือนมุมอับสายตามด้านข้าง ซึ่งต้องขยับไปรุ่นท็อป Plus จะนับว่ามีถึง Level 2 ที่ให้มาแบบครบ ๆ เกินตัวเลยครับ 

สมรรถนะการขับขี่ ขับสนุก แรงดี แต่....นุ่มนวลไปหน่อย
สมรรถนะของรุ่น Standard แม้จะเป็นตัวเริ่มต้น แต่ว่าได้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาเยอะพอตัวระดับ 201 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร เทียบเท่ารถยนต์สันดาปขนาด 2.5 ลิตร (NA) แล้วครับ แถมยังได้ฟิลลิ่งรถขับเคลื่อนล้อหลังที่ปัจจุบันหายากลงไปทุกที จากพลังระดับนี้ให้อัตราเร่งแบบชิว ๆ จาก 0-100 กม./ชม. จาดสเปคโรงงานก็ 7.9 วินาที แต่ถ้าอยู่ในระดับ 8 วินาที ก็นับว่าแรงพอตัวแล้วสำหรับรถซีดานใช้งานทั่วไป

อัตราเร่งแรงแซงทันใจมาไวแต่ไม่ถึงกับกระชากจนหลังติดเบาะ จากการทดลองออกตัวแรง ๆ หลายครั้ง ยังพบว่ามีการปรับระบบคันเร่งกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้มีคึวามนุ่มนวล เพื่อการขับขี่ที่ง่ายสบายและไม่ต้องปรับตัวเยอะเกินไป แต่ถึงจะออกตัวแบบนุ่ม ๆ แต่ความเร็วก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แทบไม่รู้สึกตัวว่าขับกำลังขับความเร็วสูง ๆ อยู่
 
การป้องกันเสียงเข้ามาในห้องโดยสารถือว่าเงียบใช่ได้สมกับราคาค่าตัวอาจจะดีกว่ารถคู่แข่งหรือค่ายเจ้าตลาดบางค่ายในระดับเดียวกับด้วยซ้ำครับ เสียงลมปะทะน้อยมาก เสียงยางและล้อที่วิ่งบดถนนลอดเข้าจากใต้ท้องรถมีน้อยแบบบไม่สร้างความรำคาญมากนัก อาจจะด้วยขนาดยาง 215 ที่มีแก้มสูง 60 ทำให้มีความนุ่มและเงียบกว่ายางแก้มเตี้ย ๆ
 
พวงมาลัยตึงกระชับ ช่วงล่างนิ่มเกินไป
การควบคุมโดยรวมแล้วยังไม่ประทับใจมากนัก ยังขาดความเป็นธรรมชาติอยู่บ้างอย่างในการควบคุมพวงมาลัยระบบบังคบเลี้ยวนั้น พวงมาลัยให้ความตึงกระชับมีระยะฟรีน้อยมากและยังคมกรี๊บ เมื่อขับความเร็วสูง ขยับข้อมือเพียงนิดเดียว รถเกินอาการพริ้วไหวตามทันที ทำให้รถมีอาการคล้ายส่ายไปมาทุกครั้งที่โยกพวงมาลัยเพียงเล็กน้อย การตอบสนองนับว่าไวมาก ๆ จนมากเกินไป ทำให้ผู้ขับจะต้องคอยเกร็งมือตลอดเวลา ทำให้เมื่อขับนาน ๆ จะเริ่มรู้สึกเมื่อยล้าได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนอื่น ๆ ของการขับขี่เช่น ท่านั่งขับขี่ที่กระชับ ระยะห่างพอดีกับระยะพวงมาลัย แม้ว่าพวงมาลัยจะปรับได้เพียงขึ้น-ลง (ใกล้ไกลไม่ได้) แต่ก็ได้ระยะที่สบายพอดี (ผู้ขับขี่สูง 176 ซม.)   
 
ระบบช่วยเหลือดการขับขี่นับว่าใช้งานได้ค่อยข้างเสถียรมีความแม่นยำและตอบสนองรวดเร็วพร้อมสามารถที่จะกับตั้งค่าความไวได้ตามต้องการอีกด้วย โดยเฉพาะระบบเตือนออกนอกเลนที่ทำงานได้ไวและแม่นยำพอตัวเลยครับ ด้วยการทดสอบสั้น ๆ นี้อาจได้ลองระบบต่าง ๆ น้อยมากคงต้องหาเวลานำมาทดสอบยาว ๆ กันอีกรอบ
 
มาถึงช่วงล่างกันบ้าง......แม้จะเป็นอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้า Macpherson ด้านหลัง Five-links แต่เซ็ทมาให้แบบนุ่มนวลมาก ยิ่งความเร็วต่ำ ๆ ยิ่งนั่งสบาย และแม้จะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ๆ หากเป็นถนนเรียบ ๆ ทั่วไปยิ่งสบายนุ่มนวลผ่อนคลายและเงียบดี แต่ถ้าจะต้องเปลี่ยนเลนหรือเข้าทางโค้ง อาจจะมีอาการโยนตัวหรือยวบ ๆ มากหน่อย ทำให้การขับขี่ในสไตล์ดุดันอาจจะทำได้ไม่เนียบพอ ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เพิ่มขึ้น ซึ่งระบบช่วงล่างสำหรับคันนี้เหมาะกับการขับขี่เดินทางเป็นเรื่อย ๆ เพลิน ๆ ไม่ซิ่งมากกว่า เน้นใช้งานเป็นครอบครัวหรือการขับขี่ที่ไม่ใช้ลีลาโหด ๆ มากนักครับ
อัตรากินไฟฟ้า 14-16 kWh กับ 201 แรงม้า พอรับได้
อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าที่แสดงบนมาตรวัดตลอดทริปเฉลี่ยแล้วประมาณ 14-16 kWh ขึ้นกับการขับขี่ในแต่ละช่วง ใช้คันเร่งมากห็กินไปเพิ่มขึ้น ช่วงขับขี่ความเร็วคงที่ก็จะประหยัดหน่อย แต่ถ้าคิดจากกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าระดับ 201 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตร ผมถือว่าปกติครับ ไม่ประหยัดจนว้าวและไม่กินไฟดุจนเกินไปครับ เรียบว่าระดับปกติของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีกำลังใช้งานระดับนี้
 

สรุปความคุ้มค่า สมรรถนะสมราคา
JY AIR Standard ราคา 759,000 บาท นับว่าเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่าในเรื่องของพละกำลัง ระยะทางที่วิ่งได้ ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่มีให้ใช้งาน แม้จะขาดบางระบบไปบ้าง แต่ด้วยสมรรถนะและระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ แม้กระทั่งระบบ Solfware เป็นระบบปฏิบัติการ Crystal OS ประสิทธิภาพสูง โดยทีมวิจัย และพัฒนาของจูนเหยา ซึ่งระบบ Crystal OS นี้มีฟีเจอร์ควบคุม และสั่งงานแบบอัจฉริยะ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทุกฟังก์ชันได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ทั้งยังรองรับการตั้งค่าตามสภาพถนนได้แบบเรียลไทม์ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ราบรื่น ความปลอดภัยโครงสร้างตัวถังที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจาก CNCAP และ Euro NCAP ระดับ 5 ดาว

การรับประกันตัวรถและมอเตอร์ไฟฟ้า 150,000 กม. ส่วนแบตเตอรี่ยาวนานถึง 8 ปี หรือ 800,000 กม. รับสิทธิ์
ฟรี ตั๋วเครื่องบิน ไม่จำกัดเส้นทาง 4ที่นั่ง/ปี นาน3ปี
ฟรี Juneyao Air Gold membership นาน 3 ปี
ฟรี AC changer