ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อมูลโรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis)  (อ่าน 134 ครั้ง)

siritidaphon

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 203
    • ดูรายละเอียด
ข้อมูลโรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis)

ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis vaginitis) เป็นโรคที่พบได้เป็นครั้งคราว ซึ่งไม่มีอันตรายร้ายแรง ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค) ชนิดหนึ่ง

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อโปรโตชัว (สัตว์เซลล์เดียว) ซึ่งเป็นพยาธิขนาดเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ทริโคโมแนสวาจินาลิส (Trichomonas vaginalis) ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการคันในช่องคลอดมาก บางครั้งอาจมีอาการขัดเบา หรือปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะ และมีอาการตกขาวออกเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นเหม็น มักออกเป็นจำนวนมาก และมีลักษณะเป็นฟอง ๆ


ภาวะแทรกซ้อน

ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น หนองใน เอดส์)

ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้อาจทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวต่ำ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ จะวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายในช่องคลอด และนำตกขาวไปตรวจส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อทริโคโมแนส


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้ยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ เมโทรไนดาโซล และควรให้ฝ่ายชายกินยานี้พร้อม ๆ กันไปด้วย เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายหญิงรับเชื้อซ้ำอีก


การดูแลตนเอง

ถ้าหากสงสัย เช่น มีอาการคันในช่องคลอดมาก และมีอาการตกขาวออกเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นเหม็น
ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการกำเริบซ้ำ
    ในรายที่แพทย์ให้ยารักษา หากใช้ยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในหญิงตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการตกขาวและคัน ควรได้รับการตรวจรักษาอย่างจริงจัง

2. ผู้ชายที่ติดเชื้อตัวนี้ ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง แต่สามารถแพร่เชื้อให้ฝ่ายหญิง

ส่วนน้อยที่อาจมีอาการท่อปัสสาวะอักเสบ (ขัดเบา มีหนองไหลเล็กน้อยแบบหนองในเทียม) หรือต่อมลูกหมากอักเสบ

ทางที่ดี ถ้าพบว่าฝ่ายหญิงเป็นโรคนี้ ควรให้ฝ่ายชายกินยารักษาพร้อม ๆ กันไปด้วย