แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 20
1
บริการทำความสะอาด: หลากหลายขั้นตอนในการทำความสะอาดคราบแน่นบนพื้น

มันต้องการวิธีการในการกำจัดรอยต่างๆที่เป็นระบบขั้นตอนค่ะ เพราะรอยคราบเหล่านี้ค่อนข้างกำจัดออกยากค่ะ

จริงอยู่ หลายๆคราบ และรอยถลอก เราอาจจะทำให้หายไปเหมือนใหม่ไม่ได้ค่ะ แต่คราบติดแน่นจำนวนมากเราสามารถกำจัดออกได้นะคะ ซึ่งจะทำให้สถานที่นั้นๆดูสะอาด ใหม่ มีการบำรุงรักษา และทำให้สถานที่นั้นๆน่าใช้งานค่ะ

ดีคลีนมีประสบการณ์ในการกำจัดคราบเหล่านี้ค่ะ เราจึงนำประสบการณ์และความรู้มารวบรวมออกมาเป็นแนวทางและขั้นตอนในการทำความสะอาดของเราค่ะ ทำให้เราสามารถจัดการคราบติดแน่นได้ด้วยเวลาที่น้อยกว่า สะอาดกว่า และทำลายพื้นผิวน้อยกว่าค่ะ

นี่แหละค่ะความเป็นมืออาชีพของเรา ที่ทำให้เราสามารถทำความสะอาดพื้นที่ต่างๆได้อย่างสะอาดค่ะ

โต๊ะทำงาน แหล่งสะสมเชื้อโรคยิ่งกว่าห้องน้ำ

ใครจะเชื่อล่ะว่า ผลจากการวิจัยชี้ว่า บนโต๊ะทำงาน มีแบคทีเรียอยู่กว่า 10 ล้านตัว โดย 7,500 ตัว แฝงอยู่ในคีย์บอร์ด ซึ่งแบคทีเรียเหล่านั้น กำเนิดมาจากพวกเราเองนี่แหละค่ะ โดยเฉพาะจากผิวหนัง ปากและลำไส้ ทั้งนี้หลังจากทำ ความสะอาดโต๊ะทำงาน ไปแล้ว แบคทีเรียและเชื้อโรค สามารถกลับมาอาศัยอยู่ที่เดิมได้ ภายในไม่กี่วัน และ 1 ใน 5 ของคนทำงาน มักรับประทานอาหาร บนโต๊ะทำงาน โดยไม่ทำความสะอาดก่อน วันนี้เรามีเคล็ดการ ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน ดีๆ มาฝากกัน ดังนี้ค่ะ

1.    เก็บของบนโต๊ะออกทั้งหมด ปัดฝุ่น และทำความสะอาด ด้วยผ้าแห้ง จากนั้น เช็ดโต๊ะด้วยน้ำยาทำความสะอาดให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม ทิ้งให้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคทำงาน ปล่อยไว้จนโต๊ะแห้งสนิท ค่อยจัดอุปกรณ์กลับขึ้นโต๊ะ อย่างเป็นระเบียบ

2.    คัดแยกสิ่งของเป็นหมวดหมู่ และกำจัดของที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นที่สะสมฝุ่น และเชื้อโรคออกจากโต๊ะทำงานนะคะ

3.    มาถึงแหล่งสะสมเชื้อโรคตัวเก่ง คีย์บอร์ดนั่นเองค่ะ เริ่มจากถอดสายไฟ ปิดเครื่องให้เรียบร้อย คว่ำแป้นคีย์บอร์ดและเขย่าเบาๆเพื่อกำจัดเศษสิ่งสกปรก จากนั้นใช้สำลีก้อนชุบน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ทำความสะอาดบริเวณแป้นตัวอักษร และคอมพิวเตอร์ให้ละเอียดค่ะ

4.    เราควรมีแก้วน้ำและถ้วยกาแฟส่วนตัวกัน และเมื่อใช้เสร็จแล้ว ให้ล้างทำความสะอาดทุกครั้ง ไม่วางแช่บนโต๊ะทำงานกัน ข้ามวันข้ามคืนนะคะ

5.    อย่าลืม เช็ดทำความสะอาด ปากกาด้ามโปรด และอุปกรณ์สำนักงานทั้งหลายนะคะ เนื่องจากถูกใช้ด้วยมือที่หยิบจับสิ่งต่างๆ มาตลอดทั้งวัน  จึงเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรีย และเชื้อโรคมากมายเช่นกันค่ะ

6.    สุดท้าย ก็อย่าลืมเช็ดทำความสะอาดเก้าอี้ พนักพิง ที่วางแขน ให้สะอาดปราศจากเชื้อโรคกัน

นอกจากวิธีทำความสะอาดแล้ว น้ำยาที่เลือกใช้ในการทำ ความสะอาดของโต๊ะทำงาน ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันนะคะ โดยทั่วไป คนมักจะเข้าใจว่า การทำความสะอาด และฆ่าเชื้อ จะต้องใช้แอลกอฮอล์เท่านั้น ซึ่งการใช้แอลกอฮอล์ อาจทำให้พื้นผิวสัมผัสของวัสดุเสียหาย หรือสีซีดได้  และยังมีความเสี่ยงเนื่องจากเป็นวัสดุติดไฟ ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีทางเลือกที่นอกจากแอลกอฮอล์นะคะ การทำความสะอาดฆ่าเชื้อ มีน้ำยาอีกหลายชนิดที่ไม่สร้างความเสียหาย และสามารถฆ่าเชื้อได้เช่นเดียวกัน

2
พระธาตุประจำปีเกิด 12 นักษัตร 2567 ทำบุญ เสริมดวง บูชาพระธาตุ

 สำหรับ ปีใหม่ ที่กำลังจะถึงนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุขอิ่มบุญกันถ้วนหน้านะคะ และเพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล ที่เที่ยวปีใหม่ นี้ เราจะชวนไปสักการะ พระธาตุประจำปีเกิด 12 นักษัตร กันค่ะ ใครที่ตรงกับ ปีชง ก็สามารถไปไหว้พระทำบุญ แก้ชง กันได้ สำหรับใครที่ไม่ได้เป็นปีชง ก็ไปทำบุญเสริมสร้างความมงคลสู่ตัวเองรับปีใหม่กันค่ะ

พระธาตุประจำปีเกิด 12 นักษัตร ไหว้ขอพร

1. พระธาตุศรีจอมทอง พระธาตุประจำคนเกิดปีชวด

       องค์พระธาตุตั้งอยู่ที่ วัดพระบรมธาตุศรีจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ค่ะ พระธาตุศรีจอมทองมีลักษณะศิลปะ สถาปัตยกรรมแบบล้านนา พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้มีความพิเศษแตกต่างจากที่อื่นคือ เป็นพระบรมธาตุที่ไม่ได้ฝังใต้ดินเหมือนกับพระธาตุในเมืองเหนือแห่งอื่นๆ ค่ะ แต่ประดิษฐานอยู่ในกู่ภายในวิหาร สามารถอันเชิญมาสรงน้ำได้

       นอกจากนี้วัดนี้เป็นวัดที่มีผู้ที่เกิดปีชวดนิยมมา กราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล สังเกตได้จากบริเวณรอบๆ พระธาตุ จะมีตุ๊กตารูปหนูวางเรียงรายอยู่มากมายทีเดียว

    ที่อยู่ : 157 หมู่ 2 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

2. พระธาตุลำปางหลวง พระธาตุประจำคนเกิดปีฉลู

        วัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง เป็นวัดที่เริ่มสร้างในปีฉลู และเสร็จในปีฉลู เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย มีความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย นอกจากนี้วัดพระธาตุลำปางหลวงยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระแก้วดอนเต้า” (พระแก้วมรกต) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปาง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะล้านนาสลักด้วยหยกสีเขียวอีกด้วย

    ที่อยู่ : 271 ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 07.30-17.00 น.

3. พระธาตุช่อแฮ พระธาตุประจำคนเกิดปีขาล

      วัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ เป็นวัดที่ประดิษฐาน องค์พระธาตุช่อแฮ ซึ่งเป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแพร่ที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุพระศอกซ้ายของพระพุทธเจ้าค่ะ

      นักท่องเที่ยวนิยมไปกราบไหว้ พระเจ้าทันใจ และ หลวงพ่อช่อแฮ เพื่อเป็นสิริมงคลต่อตัวเอง และครอบครัว มีเคล็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่าหากว่าผู้ที่เกิดปีขาลนำผ้าแพรสามสีมาถวายจะทำให้ชีวิตมีพลังคุ้มครองป้องกันศัตรู

    ที่อยู่ : เลขที่ 1 หมู่ที่ 11 ถนนช่อแฮ ตำบลช่อแฮ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
    เปิดให้เข้าชม : 06.30-19.00 น.

4. พระธาตุแช่แห้ง พระธาตุประจำคนเกิดปีเถาะ

      พระธาตุแช่แห้ง เป็นปูชนียสถานที่สำคัญ มีอายุกว่า 600 ปีแล้ว ตั้งอยู่ที่ วัดพระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน ค่ะ เป็นพระธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากกรุงสุโขทัย ที่นี่จัดว่าเป็นโบราณสถานที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของล้านนาเลยก็ว่าได้ สำหรับผู้ที่เกิดปีเถาะนั้น อยากมาสักการะบูชาจะได้รับอานิสงส์เกิดบารมี ได้รับการอุดหนุนค้ำชู การมีชื่อเสียง ลาภยศ สรรเสริญ ความมั่นคงค่ะ

    ที่อยู่ : 89 หมู่ 3 ตำบลม่วงตึ๊ด อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน
    เปิดให้เข้าชม : 07.00-18.00 น.

5. พระธาตุพระสิงห์ พระธาตุประจำคนเกิดปีมะโรง

        พระธาตุพระสิงห์ ตั้งอยู่ที่ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ สร้างจากศิลปะพม่าที่นิยมสร้างกันมาตั้งแต่สมัยพุกามค่ะ ภายในพระเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุส่วนกระดูกข้อมือซ้าย บรรจุรวมกับพระเกศา นักท่องเที่ยวนิยมมาสักการะ พระพุทธสิหิงค์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ที่วัดแห่งนี้อีกด้วย

    ที่อยู่ : ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-17.00 น.

6. พระมหาเจดีย์พระพุทธคยา พระธาตุประจำคนเกิดปีมะเส็ง

        พระมหาเจดีย์พระพุทธคยา องค์จริงตั้งอยู่ที่ประเทศอินเดียค่ะ และเนื่องจากประดิษฐานอยู่ไกล คนโบราณจึงจำลองพระมหาเจดีย์ฯ แบบมาจากเจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ขึ้นที่ วัดอนาลโยทิพยาราม จังหวัดพะเยา นั่นเอง ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ และสวยงาม

    ที่อยู่ : ตำบลสันป่าม่วง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.

7. พระธาตุชเวดากอง พระธาตุประจำคนเกิดปีมะเมีย

       พระธาตุชเวดากอง นั้นตั้งอยู่ที่ประเทศเมียนมา เพื่อนบ้านเรานี่เอง แต่ถ้าไม่อยากเดินทางไกล ผู้ที่เกิดปีมะเมียสามารถเดินทางไปมนัสการ พระบรมธาตุเมืองตาก ซึ่งตั้อยู่ที่ วัดพระบรมธาตุ จังหวัดตาก แทนพระธาตุชเวดากองที่ประเทศเมียนมาได้ค่ะ เนื่องจากเป็นเจดีย์ที่พระครูพิทักษ์ (ทองอยู่) ได้จำลองแบบมาจากพระธาตุชเวดากองโดยครอบพระธาตุเจดีย์องค์เดิมไว้นั่นเอง

       ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง พระวิหารหลวงพ่อทันใจ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวตาก และผู้ที่มาขอพรก็มักได้รับตามคำขอในเวลาอันรวดเร็วอันเป็นที่มาของชื่อ หลวงพ่อทันใจ

    ที่อยู่ : หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะตะเภา อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

8. พระธาตุดอยสุเทพ พระธาตุประจำคนเกิดปีมะแม

       พระธาตุดอยสุเทพ ตั้งอยู่ที่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางไปเชียงใหม่นิยมขึ้นไปนมัสการพระบรมธาตุกันแทบทุกคน ถ้าหากใครไม่ได้ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพนั้น เรียกได้ว่าเหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่ค่ะ วัดพระธาตุดอยสุเทพนี้ ประดิษฐานอยู่บนดอยสุเทพ และเป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่เมืองเชียงใหม่

    ที่อยู่ : 9 หมู่ที่ 9 ดอยสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 05.00-21.00 น.

9. พระธาตุพนม พระธาตุประจำคนเกิดปีวอก

       พระธาตุพนม ตั้งอยู่ที่ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จังหวัดนครพนม พระบรมธาตุเจดีย์องค์สำคัญซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนสองฝั่งโขง บรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้าไว้

       ตามตำนานเล่าว่าตกแต่งโดยพระอินทร์ และเหล่าเทวดา มีแผ่นอิฐที่จำหลักลวดลายเป็นภาพกษัตริย์โบราณ ฝีมือช่างพื้นบ้าน ศิลปะทวารวดี หรือพุทธศตวรรษที่ 13-15 นับว่าเป็นพระบรมธาตุเจดีย์ที่เก่าแก่มากของภาคอีสานเลยทีเดียว

    ที่อยู่ : ถนนชยางกูร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
    เปิดให้เข้าชม : 05.00-21.00 น.

10. พระธาตุหริภุญชัย พระธาตุประจำคนเกิดปีระกา

       พระธาตุหริภุญชัย นั้นตั้งอยู่ที่ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จังหวัดลำพูน ค่ะ เป็นพระเกศบรมธาตุบรรจุในโกศทองคำประดิษฐานในพระเจดีย์แบบล้านนาไทยแท้ๆ พระธาตุหริภุญชัย ได้รับการบูรณะเรื่อยมาโดยพระเจดีย์องค์ปัจจุบันบูรณะในสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ เมื่อ 500 กว่าปีมาแล้ว นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองลำพูนอีกแห่งหนึ่ง

    ที่อยู่ : 335 ถนนรอบเมืองใน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

11. พระธาตุจุฬามณี พระธาตุประจำคนเกิดปีจอ

       พระธาตุจุฬามณี ตั้งอยู่ที่ วัดเกตการาม จังหวัดเชียงใหม่ ตามพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ นั้นอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประดิษฐานพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ และด้วยที่พระธาตุเจดีย์องค์นี้ คนเราไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ จึงสามารถบูชา พระเจดีย์ ที่วัดเกตการาม เชียงใหม่ ซึ่งมีชื่อพ้องกับพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์แทนได้นั้นเองค่ะ

    ที่อยู่ : 96 ถนน เจริญราษฎร์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

12. พระธาตุดอยตุง พระธาตุประจำคนเกิดปีกุน

        พระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่ที่ วัดพระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงราย เป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของเชียงรายเชื่อกันว่า เป็นที่สถิตของเทพารักษ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่บรรจุพระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้าค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.

3
ผู้ป่วย โรคไต กินอะไรได้บ้าง-อะไรที่ไม่ควรกิน หรือ ควรหลีกเลี่ยง!

ไต เป็นอีกหนึ่งอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่เหมือนเครื่องกรองน้ำของร่างกาย คือ มีหน้าที่ช่วยขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ทำให้ระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องยังสามารถรักษาความสมดุลและทำงานได้อย่างเป็นปกติ แต่หากประสิทธิภาพของร่างกายถดถอยจนรุนแรงถึงขั้นเกิดอาการไตวายหรือภาวะไตล้มเหลว ก็มีโอกาสทำให้ระบบต่าง ๆ ล้มเป็นโดมิโนตามไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต้องเกิดสภาวะความผิดปกติขั้นรุนแรง การเลือกรับประทานอาหารจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นวันนี้เราจะพาทุกคนไปเรียนรู้กันว่าอาหารชนิดใดบ้างที่คนเป็นโรคไตสามารถบริโภคได้


ก่อนอื่นมารู้จักกับโรคไตกันก่อน

โรคไต (Kidney Disease) คือสภาวะที่ไตถูกทำลาย ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของไตลดลง โดยไตมีหน้าที่ในการขับของเสียจากการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีนและรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย เช่น ควบคุมน้ำและแร่ธาตุต่าง ๆ ในเลือด การกำจัดของเสียออกจากเลือด การกำจัดยาและสารพิษออกจากร่างกาย การหลั่งฮอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือด เป็นต้น เมื่อไตทำงานผิดปกติก็จะส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางและขาดวิตามิน รวมไปถึงปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูงอีกด้วย

 
ประเภทของโรคไตที่พบบ่อย

โรคไตมีหลายชนิด ซึ่งจะแยกย่อยออกไปตามลักษณะอาการและตำแหน่งที่มีปัญหา เช่น กรวยไตอักเสบ ไตวายเรื้อรัง ไตวายเฉียบพลัน เนื้อเยื่อไตอักเสบ และนิ่วในไต เป็นต้น ซึ่งอาการของผู้ป่วยโรคไตแต่ละชนิดก็จะมีอาการแตกต่างกันออกไปด้วย โดยถ้าหากแบ่งแยกตามกลุ่มอาการแล้วสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิดที่พบได้มากที่สุด คือ ไตวายเฉียบพลัน และไตวายเรื้อรัง

·       โรคไตวายเฉียบพลัน 

คือ อาการที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาเพียงไม่มีชั่วโมง วัน หรือสัปดาห์ ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะช็อกจากการเสียน้ำหรือเลือดเป็นจำนวนมาก การติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง การได้รับสารพิษหรือผลข้างเคียงจากยา ภาวะไตวายเฉียบพลันเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากเข้าพบแพทย์ได้ทันเวลาก็จะสามารถรักษาให้ไตกลับมาทำงานปกติได้

·       โรคไตวายเรื้อรัง

คือ สภาวะที่เนื้อไตจะถูกทำลายไปทีละน้อยอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคไตที่เกิดจากเบาหวาน โรคไตที่เกิดจากความดันโลหิตสูง โรคไตที่เกิดจากเกาท์ เป็นต้น

 
ผู้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไต

·       ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคนิ่ว เป็นต้น

·       ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคไต

·       ผู้ทีมีประวัติการใช้ยาที่เป็นพิษกับไตติดต่อกันเป็นเวลานาน

·       ผู้ที่มีความเครียดเป็นประจำ

·       ผู้ที่รับประทานรสจัดเป็นประจำ

·       ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย

·       ผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่

·       ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป


นอกจากนี้ผู้ที่เริ่มมีการเหล่านี้แสดงออกมาก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไตเช่นกัน

·       อาการบวม เริ่มจากการบวมที่หนังตาและหน้า ต่อมาจะบวมที่ขาและเท้าทั้ง  2 ข้าง สามารถทดสอบได้โดยการใช้นิ้วกดซักพักแล้วปล่อย หากปล่อยมือแล้วมีลักษณะบุ๋มลงไป ก็หมายถึงผู้ป่วยกำลังมีอาการบวมแน่นอน

·       อาการปวดหลัง ปวดเอว ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลัง บั้นเอว บริเวณชายโครง ร้าวไปถึงท้องน้อย ปวดหัวหน่าวและอวัยวะเพศ บางรายอาจปวดเข้าไปในกระดูกและข้อ ซึ่งมีสาเหตุมาจากไตทำงานหนัก

·       อาการหอบเหนื่อย อ่อนเพลีย ซีดมากกว่าปกติ

·       ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะมีสีส้มแดง ซึ่งเกิดจากมีเลือดปนออกมาเพราะเส้นเลือดฝอยในกรวยไตฉีกขาด ปัสสาวะเป็นฟอง เพราะมีโปรตีนรั่วออกมากับปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ เพราะไตไม่สามารถควบคุมการขับปัสสาวะได้

·       ความดันโลหิตสูง ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะไตทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเรนิน แองจิโอเทนซิน (Angiotensin) ที่ใช้ในการควบคุมระดับความดันโลหิตในร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ เมื่อไตผลิตฮอร์โมนเรนิน แองจิโอเทนซินไม่ได้ ความดันโลหิตจึงสูงขึ้น


อาการของโรคไต

โรคไตแบ่งออกเป็น 5 ระยะซึ่งแบ่งตามค่ากรองไต ดังนี้

·       ระยะที่ 1 ค่า GFR > 90%

·       ระยะที่ 2 ค่า GFR = 60-89%

·       ระยะที่ 3 ค่า GFR = 30-59%

·       ระยะที่ 4 ค่า GFR = 15-29%

·       ระยะที่ 5 ค่า GFR < 15%


ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงออกมาแต่จะมาเริ่มแสดงอาการเมื่อไตได้รับความเสียหายมากแล้ว ซึ่งอาการที่แสดงออกมาจะสังเกตได้ดังต่อไปนี้

·       ปัสสาวะเป็นเลือด ปกติแล้วปัสสาวะจะมีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลืองเข้ม ขึ้นอยู่กับปริมาณการดื่มน้ำในขณะนั้น แต่ถ้าพบว่าปัสสาวะมีเลือดปน อาจจะเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรืออาจเกิดเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

·       ปัสสาวะเป็นฟอง เกิดจากการมีโปรตีนไข่ขาวรั่วออกมาในปัสสาวะ ซึ่งมักเป็นอาการของภาวะโรคไตเรื้อรัง

·       ปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ ผู้ที่ไตมีความผิดปกติ เช่น โรคไตเรื้อรัง ไตจะไม่สามารถดูดน้ำกลับไปเก็บในกระเพาะปัสสาวะได้ปกติ จึงทำให้ต้องปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ

·       มีอาการบวมของหน้าและเท้า

·       อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ขาดสมาธิ

·       บางรายน้ำหนักลด แต่บางรายผู้ป่วยอาจจะตัวบวม น้ำหนักขึ้นก็ได้

·       คลำพบก้อนเนื้อ บริเวณไต

·       ผิวหนังจะซีด คัน มีจ้ำเลือดขึ้นง่าย

·       เบื่ออาหาร คลื่นไส้

·       ปากขม ไม่สามารถรับรสอาหารได้

 
การวินิจฉัยโรค

การตรวจวินิจฉัยสำหรับโรคไตอย่างละเอียด สามารถทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

·       ตรวจปัสสาวะ – หากเกิดภาวะผิดปกติจะตรวจพบโปรตีนและเม็ดเลือดแดงปนมากับปัสสาวะ

·       ตรวจเลือด – หากเกิดภาวะผิดปกติ ปริมาณไนโตรเจน กรดยูริก (Blood Nitrogen Urea, BUN) และ ครีเอตินิน (Creatinine, Cr) ที่เป็นของเสียจากกล้ามเนื้อจะตกค้างในเลือดสูงกว่าปกติ และนำผลเลือดที่ได้นี้มาใช้ในการประเมินค่าการทำงานของไตหรือ GFR (glomerular filtration rate) ในลำดับต่อไป

·       ตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และทำ CT Scan - ถ้ามีความผิดปกติของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ แพทย์สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนร่วมกับการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ

           
อาหารที่คนเป็นโรคไตควรบริโภคและหลีกเลี่ยง

 การเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรทำเป็นประจำ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไตแล้วมีข้อควรระวังมากขึ้น เพราะหากรับประทานอาหารผิดสัดส่วนก็จะไปกระตุ้นให้ไตทำงานหนักมากจนเกินไปทำให้ส่งผลเสียต่อระยะของโรคได้ ซึ่งอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตควรรับประทานและควรหลีกเลี่ยงแบ่งตามสารอาหารมีดังต่อไปนี้

·       โปรตีน โปรตีนที่เข้าสู่ร่างกายโดยเกินความจำเป็นจะกลายเป็นของเสียที่ทำให้ไตต้องทำงานอย่างหนักเพื่อขับออก ดังนั้นควรจะต้องบริโภคอย่างระมัดระวัง ผู้ป่วยโรคไตจึงควรรับประทานโปรตีนให้เหมาะสมกับระยะของโรค โดยผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 1-5 ควรรับโปรตีน 0.8–1.0 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในขณะที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายควรได้รับโปรตีนเพียง 1.2–1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทางที่ดีแนะนำให้ผู้ป่วยทาน โปรตีนคุณภาพสูง เช่น เนื้อปลาที่มีไขมันต่ำและโอเมก้าสูง ไข่ขาว เนื้อหมู เนื้อไก่ (ไม่ติดหนัง) นมไขมันต่ำ เป็นต้น ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ก็จะเป็นเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณโปรตีนสูง เพราะจะทำให้ไตทำงานหนักเกินไปนั่นเอง

·       คาร์โบไฮเดรต ควรบริโภคแป้งประเภทที่ปลอดโปรตีน เช่น วุ้นเส้น เส้นเซี่ยงไฮ้ แป้งมัน สาคู เป็นต้น ในทางกลับกันผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงแป้งที่มีโปรตีนอย่างข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว เส้นพาสต้า เป็นต้น

·       ไขมัน กรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว หรือน้ำมันถั่วเหลือง เป็นประเภทไขมันที่ผู้ป่วยโรคไตสามารถบริโภคได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูง เช่น อาหารทะเล ฟาสต์ฟูด ไข่แดง เครื่องในสัตว์ และไขมันอิ่มตัวจากพืชและสัตว์ เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม มันหมู รวมถึงไขมันทรานส์ เช่น เนยเทียม เนยขาว ที่อยู่ในเบเกอรี่ต่าง ๆ

·       โซเดียม แน่นอนว่าผู้ป่วยโรคไตไม่ควรบริโภคอาหารรสเค็มจัด อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง อาหารตากแห้ง และอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรบริโภคอาหารโซเดียมต่ำ โดยควรจำกัดปริมาณโซเดียมให้อยู่ที่ 2-3 กรัม/วัน

·       โพแทสเซียม ผู้ป่วยควรบริโภคผักที่มีปริมาณโพแทสเซียมไม่สูง เช่น ฟักเขียว บวบ แตงกวา มะเขือยาว เป็นต้น และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ผักสีเขียวเข้มหรือสีเหลืองเข้ม ได้แก่ บร็อคโคลี่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง ฟักทอง

·       ฟอสฟอรัส อาหารที่มีฟอสฟอรัสต่ำอย่างเช่น ไข่ขาว ผู้ป่วยสามารถรับประทานได้ ส่วนอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูงนั้น ผู้ป่วยไม่ควรรับประทาน เช่น ไข่แดง นมทุกรูปแบบรวมถึงผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เนยแข็ง เมล็ดพืช (เช่น เมล็ดแตงโม เมล็ดทานตะวัน) รวมถึงอาหารที่ใช้ยีสต์และใช้ผงฟูเพราะมีฟอสเฟตสูง เช่น ขนมปังปอนด์ ซาลาเปา หมั่นโถว โดนัท เค้ก คุ้กกี้ เป็นต้น

·       กรดยูริก ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนมาก เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด ปีกสัตว์ น้ำสกัดจากเนื้อสัตว์ ยอดผักอ่อน (เช่น ยอดตำลึง ยอดฟักแม้ว ยอดฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง) แต่สามารถทานอาหารไขมันต่ำได้ เพราะอาหารที่มีไขมันสูงทำให้กรดยูริกนั้นขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะได้ไม่ดี

·       เครื่องเทศ ผู้ป่วยสามารถรับประทานเครื่องเทศและสมุนไพรที่ช่วยแต่งกลิ่นอาหาร ให้อาหารมีกลิ่นและรสชาติที่น่ารับประทานมากขึ้น เช่น หอมแดง ใบมะกรูด กระเทียม ใบโหระพา ข่า ใบแมงลัก ตะไคร้ เป็นต้น เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเจริญอาหารมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องจำกัดปริมาณโซเดียม แต่อย่างไรก็ตามควรระวังและหลีกเลี่ยงเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง

·       น้ำ น้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตมากที่สุด หรือหากต้องการดื่มน้ำอื่น ๆ ควรเป็นน้ำที่ไม่หวานจัด เช่น น้ำใบเตย น้ำอัญชัน น้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ เป็นต้น ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่มีปัสสาวะออกลดลงหรือมีอาการบวม จึงควรดื่มน้ำไม่เกิน 700–1,000 ซีซี ต่อวัน เพราะความสามารถในการขับปัสสาวะของผู้ป่วยโรคไตในระยะท้ายนั้นจะลดลง อาจกระตุ้นอาการบวมน้ำและน้ำท่วมปอดได้

 
การรักษาโรคไต

การรักษาโรคไตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน

1.        การรักษาตามอาการ  เช่น การรับประทานยา ควบคุมความดันโลหิตให้เหมาะสม และลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงยาที่มีผลให้ไตทำงานหนักขึ้น

2.        รักษาด้วยวิธีการบำบัดทดแทนไต ใช้รักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพื่อช่วยขจัดของเสียทดแทนไตที่เสียไป สามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้               

o   การฟอกเลือด เพื่อทำให้เลือดสะอาดโดยใช้ระยะเวลา 4-5 ชั่วโมง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

o   การฟอกไตผ่านทางช่องท้อง อาศัยช่องท้องในการฟอกเลือด โดยจะฟอกวันละ 4 รอบ

o   การปลูกถ่ายไต โดยการนำไตจากผู้บริจาคใส่เชิงกรานของผู้รับไต

 
วิธีป้องกันการเกิดโรคไต

·       ผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรเข้าตรวจไตปีละ 1 ครั้ง

·       รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด หวานจัด

·       ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

·       ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว

·       ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด

·       หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

·       หลีกเลี่ยงการรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น ยาแก้อักเสบ ยาชุด เป็นต้น

4
ออล นิว ไทรทัน: Mitsubishi Motors จัดแสดงยานยนต์รุ่นใหม่ที่มหกรรมยานยนต์

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จัดแสดงยานยนต์ใหม่ 2 รุ่น ที่สะท้อนแนวคิดการจัดมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 35 ได้แก่ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ พัฒนาให้ ‘แกร่ง ลุยทุกอุปสรรค’ ควบคู่กับความสำเร็จของกระบะมิตซูบิชิตลอดระยะเวลา 40 ปี และ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต อีลีท เอดิชั่น สะท้อนความสำเร็จที่แตกต่างด้วยการยกระดับความหรูหรา ภาพลักษณ์ และสมรรถนะ

“รูปแบบการจัดบูธของเราในปีนี้ได้สะท้อนตามแนวคิดของผู้จัดงานฯ ที่ว่า ‘ขับสนุก! ก่อนยุคไร้คนขับ’ เพราะ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มิได้คิดค้นแต่เฉพาะเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับและระบบขับขี่อัตโนมัติสำหรับอนาคตเท่านั้น แต่เรายังคงมุ่งมั่นมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้าในปัจจุบันอีกด้วย” มร. โมริคาซุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

“นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ยนตรกรรมของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส สามารถสร้างปรากฎการณ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการออกแบบ สมรรถนะ และเทคโนโลยี ซึ่งในวันนี้เราได้พิสูจน์อีกครั้งด้วยมิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ และ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต อีลีท เอดิชั่น” มร. ชกกิ กล่าวเพิ่มเติม


Mitsubishi Triton ใหม่ ‘แกร่ง ลุยทุกอุปสรรค’ ดีไซน์แกร่งถึงขีดสุดด้วยเอกลักษณ์การออกแบบด้านหน้าแบบ Advanced ‘Dynamic Shield’ และเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะพร้อมลุยบนทุกเส้นทางทั้งบนถนนปกติและเส้นทางขรุขระ ครบครันด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยและระบบอำนวยความสะดวกแก่ผู้ขับขี่ เพื่อการตอบสนองและรองรับการใช้งานทุกรูปแบบ นอกจากนี้ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ยังถือเป็นยานยนต์เชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งทำการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยเมื่อเร็วๆ นี้ และนับเป็นการฉลองครบ 40 ปีแห่งความสำเร็จของรถกระบะมิตซูบิชิอย่างยิ่งใหญ่

ขณะเดียวกัน Mitsubishi Motors ประเทศไทย ยังจัดแสดง Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition ซึ่งได้รับการตกแต่งเพื่อสร้างแรงบันดาลใจสู่ “ความสำเร็จที่แตกต่าง” ลูกค้าสามารถเลือกความหรูเหนือระดับได้ 2 สี 2 สไตล์ ทั้ง สีดำ Jet Black Mica และ สีขาวมุก White Pearl ตกแต่งด้วยชุดแต่งพิเศษระดับพรีเมียม เพื่อยกระดับความหรูหราและความสะดวกสบาย

Mitsubishi Triton ใหม่ มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 654,000 บาท ขณะที่ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,459,000 บาท


ภายในบูธของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังจัดแสดง Mitsubishi Xpander รถยนต์ซิตี้คาร์ Mitsubishi Attrage Mitsubishi Mirage ตลอดจนรถอเนกประสงค์ Mitsubishi Pajero Sport รุ่นมาตรฐาน

พร้อมกันนี้ Mitsubishi Motors ประเทศไทย ยังใช้โอกาสดังกล่าวนำเสนอบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้ารถมิตซูบิชิทั้งเก่าและใหม่ “เราดูแล คุณแค่ขับ” เพื่อสร้างความมั่นใจในทุกการขับขี่และการใช้งานรถมิตซูบิชิอย่างไร้กังวล ครอบคลุมทั้ง 5 มิติการให้บริการ ได้แก่

- Genuine Service: บริการด้วยความเป็นเลิศ พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง

- Genuine Parts: มั่นใจได้ในอะไหล่แท้ราคามาตรฐานที่ช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์ให้ยาวนานขึ้น และมีการบริหารจัดการอะไหล่เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการรอ

- Genuine Technicians: บริการโดยทีมงานผู้ชำนาญการที่ผ่านการอบรมและฝึกฝนโดยตรงจากสถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)

- Genuine Performance: มุ่งมั่นให้บริการ เพื่อคงคุณภาพรถยนต์ให้คงสมรรถนะได้อย่างยาวนาน

- Genuine Network & Accessibility: สะดวกยิ่งขึ้นด้วย M-Drive แอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการจากเครือข่ายผู้จำหน่ายมากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ

นอกจาก “เราดูแล คุณแค่ขับ” แล้ว Mitsubishi Motors ประเทศไทย ยังพร้อมมอบข้อเสนอพิเศษทั้งภายในมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 35 และที่เครือข่ายผู้จำหน่ายมิตซูบิชิทั่วประเทศ อาทิ ชุดแต่ง Mitsubishi Triton ใหม่ พร้อมส่วนลดพิเศษ 10% จากราคาปกติ ทั้ง 3 แพคเกจ ประกอบด้วย

- ชุด Protection: แผงป้องกันด้านหน้า กรอบกระจกข้างและบันไดข้างประตู

- ชุด Sporty: ชุดแต่งใต้กันชนหน้า ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และหัวเกียร์

- ชุด Stylish: ชุดกันชนหน้าและราวกันชน


ลูกค้าที่สนใจ Mitsubishi Xpander สามารถเลือกรับแพคเกจอุปกรณ์ตกแต่งแท้พร้อมส่วนลด 10% จากราคาปกติ เพื่อให้รถครอสโอเวอร์ของคุณโดดเด่นด้วยชุดแต่ง 2 สไตล์ ได้แก่

- ชุด Décor: โลโก้ ถาดวางของ และคิ้วกันสาด

- ชุด Aero: แผงช่องดักลมที่ด้านหน้า ด้านข้างและด้านท้าย

และพิเศษสุดสำหรับเจ้าของ Mitsubishi Pajero Sport สามารถเลือกแพคเกจชุดแต่งพิเศษ ประกอบด้วย คิ้วซุ้มล้อ ชุดป้องกันมุมตัวถังรถ ชุดแต่งใต้กันชนหลังและด้านข้าง หรือ อีกแพคเกจที่เพิ่มบันไดข้าง โดยชุดแต่งทั้ง 2 แพคเกจ มาพร้อมกับส่วนลดสุดเร้าใจถึง 40% จากราคาปกติ


ทั้งนี้ Mitsubishi Motors ประเทศไทย ยังให้ความสำคัญกับการขับขี่ปลอดภัยในช่วงเทศกาลวันหยุดส่งท้ายปี ด้วยแคมเปญตรวจเช็ครถก่อนเดินทาง “เช็คกับตัวจริง มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง” ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561นี้

- ฟรีเช็คสภาพรถยนต์ 22 รายการ

- ฟรีไส้กรองเมื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้

- ส่วนลด 10% สำหรับเคมีภัณฑ์

- ส่วนลด 300 บาท เมื่อนำแบตเตอรี่เก่ามาเปลี่ยนใหม่

5
จัดฟันบางนา: ทันตกรรมเด็ก น่ารู้ เผยเคล็ดลับ ดูแลช่องปากวัยซน ด้วยการสอนแนวคิด !

ทันตกรรมเด็ก สำหรับเด็กที่ยังเล็กมากๆ แต่เริ่มมีฟันขึ้นมาเพื่อให้เคี้ยวสิ่งต่างๆได้บ้างแล้ว แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ เด็กเล็กๆ กล้ามเนื้อมือที่ใช้ในการหยิบจับนั้นยังไม่สามารถทำได้ดีเพียงพอ จึงไม่สามารถหยิบจับแปรงสีฟันขึ้นมาทำความสะอาดช่องปากของตนเองได้ หรืออาจจะทำได้แต่ไม่สะอาดเพียงพอ ผู้ปกครองที่เลี้ยงดูเด็กเล็ก จึงต้องใส่ใจในเรื่องแปรงฟัน ในระยะแรกๆอาจจะแปรงฟันให้ โดยฝึกให้เด็กแปรงฟันหน้ากระจก เพื่อได้เห็นการแปรงฟัน และจดจำวิธีขั้นตอนการแปรงฟัน
ซึ่งเชื่อว่าหลายๆบ้านที่มีเด็กเล็กๆ มีปัญหาและอาจจะวิตกอย่างมากในเรื่องสุขภาพฟันและช่องปากของเจ้าตัวเล็ก เพราะในระยะแรกๆนั้นเด็กๆจะไม่ยอมให้เราแปรงฟันแต่โดยดีแน่นอน

ในวันนี้เข้าใจถึงปัญหาตรงนี้เป็นอย่างยิ่ง จากประสบการจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี จึงอยากจะมาเผยเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเจ้าตัวเล็กให้มีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากฟันผุ ดังต่อไปนี้


เคล็ดลับดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกวิธี ทันตกรรมเด็ก

– สิ่งแรกที่เป็นปัจจัยหลักในการทำให้ฟันของเด็กๆเกิดการผุ และสุขภาพปากไม่สะอาดนั่นก็คือ การบริโภคอาหาร หรือขนม ซึ่งผู้ปกครองครัวแก้ที่ปลายเหตุนั่นก็คือ การควบคุมการบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม และขนม เพราะอาหารบางชนิดนั้นมีผลโดยตรงกับฟันเมื่อทำการรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาล และขนมผสมแป้งที่สามารถย่อยสลายกลายเป็นกรดได้ ดังเช่น ขนมปัง ขนมเค้ก และขนมอบกรอบที่มีขายตามร้านค้าทั่วไป และเครื่องดีที่มีกรดไม่เหมาะสมกับสุขภาพฟันและช่องปากของเด็กเล็กๆ เช่น น้ำอัดลม เป็นต้น ที่กล่าวมาเหล่านี้หากหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยง หรือให้รับประทานแบบควบคุม และควรแปรงฟันให้สะอาดในทุกครั้ง

– ขั้นตอนต่อไปควรสอนแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร และการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งเป็นไปได้ยากมากที่จะให้เด็กๆหลีกเลี่ยงรับประทานสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขนั่นก็คือ ขนมหวาน ผู้ปกครองจึงควรอย่างยิ่งที่จะปลูกฝังแนวคิดหลังรับประทานอาหาร หรือขนม ให้ทำการบ้วนปากให้สะอาด เพื่อขจัดคราบเศษอาหารออกส่วนหนึ่ง หรือเป็นไปได้ให้สอนเรื่องการแปรงฟันหลังจากรับประทานอาหารหรือขนมจะถือว่าเป็นการดีอย่างยิ่ง

– ผู้ปกครองควรเลือกของรับประทานเล่นให้เด็กๆ เช่น ถั่ว หรือผลไม้ เพราะ ถั่วกับผลไม้นั้นนอกจากจะช่วยเรื่องสุขภาพร่างกายของเด็กๆแล้ว ยังไม่มีอันตรายต่อฟันและช่องปากของเด็กๆอีกด้วย จึงถือว่าการบริโภคถั่วและผลไม้เป็นของว่างในทุกมื้อนั้น เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์อันนี้ผู้ปกครองที่เลี้ยงดูก็ควรฝึกตัวเอง ให้ทำเป็นประจำเพื่อให้เด็กๆมีพฤติกรรมการรับประทานของว่าเหล่านี้มากกว่าขนมหวาน นั่นเอง

– พยายามปลูกฝังแนวคิดให้เด็กๆรักสุขภาพอนามัยในช่องปากอย่างถูกวิธี ซึ่งการรักษาอนามัยในช่องปากที่ดีที่สุดก็คือ การแปรงฟัน โดยท่านผู้ปกครองอย่าพึ่งคำนึงถึงความถูกต้องมากนักในเด็กวัยนี้ แต่เน้นให้รู้จักการแปรงฟันอย่างไร หรือวิธีใดก็ได้ให้ช่องปากและฟันสะอาดที่สุด และจึงค่อยๆสอนวิธีที่ถูกต้อง แต่อย่าให้ตรึงเครียดจนเกินไป เพราะเด็กวัยนี้อาจจะกลัวหรือทำให้ไม่ชอบการแปรงฟันก็เป็นได้

– เลือกใช้แปรงสีฟันที่เหมาะสม โดยให้เลือกที่มีขนแปรงนุ่มพิเศษ หรือเลือกขนแปรงให้เหมาะกับช่วงวัยตามลำดับ แปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เป็นประจำวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและก่อนนอน โดยในช่วงแรกพยายามคุมน้ำหนักมือให้เด็กๆ ได้รู้ว่าควรลงน้ำหนักมือเท่าไหร่ และไม่ควรลงน้ำหนักมือมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เหงือกของเด็กๆ เป็นแผลและอักเสบได้

– สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ปกครองหลายๆคนอาจจมองข้ามนั่นก็คือ พยายามพาลูกไปพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจเช็คสุขภาพของช่องปากและฟันอยู่เสมออย่างน้อยสุดคือทุกๆ 6 เดือน เพราะว่าหากช่องปากของเด็กๆมีปัญหา ทันตแพทย์ได้ทำการวินิจฉัยและแก้ปัญหาตั้งแต่ที่ยังเป็นไม่มาก อย่างปล่อยทิ้งไว้นานเพราะอาจจะทำให้เด็กๆฟันผุได้นั่นเอง

ทั้งหมดนี้ก็คือขั้นตอนง่ายๆ ที่ให้คุณผู้ปกครองสามารถทำให้เด็กๆรักและรับรู้ถึงเหตุผลที่ต้องแปรงฟัน หรือรักษาสุขภาพช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ ซึ่งจะทำให้เด็กๆห่างไกลจากโรคต่างๆในช่องปากที่เกิดขึ้นกับเด็กๆได้บ่อยครั้งนั่นเอง

6
หมอออนไลน์: ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (Lymphadenitis)

เป็นการอักเสบของต่อมน้ำเหลือง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวมโตเป็นก้อนและเจ็บ

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มสเตรปโตค็อกคัส และสแตฟีโลค็อกคัส ซึ่งลุกลามมาจากโรคติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังในบริเวณใกล้เคียง เช่น บาดแผลอักเสบ ผิวหนังอักเสบ เป็นต้น


อาการ

ในรายที่ต่อมน้ำเหลืองอักเสบชนิดเฉียบพลัน จะมีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมโตและเจ็บ มักพบอาการอักเสบของผิวหนังหรืออวัยวะในบริเวณใกล้เคียง เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ (ไข่ดัน) อักเสบ มักจะเป็นผลมาจากการอักเสบในบริเวณเท้า หรือต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางอักเสบ มักเป็นผลมาจากทอนซิลอักเสบ เป็นต้น

ถ้ามีอาการอักเสบของท่อน้ำเหลืองร่วมด้วย ก็จะพบเป็นรอยแดงเป็นเส้นยาววิ่งจากบริเวณผิวหนังที่อักเสบไปจนถึงต่อมน้ำเหลืองที่อักเสบ

ผู้ป่วยมักมีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย ร่วมด้วย

ในรายที่เป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองจะมีอาการบวมโตเล็กน้อย (ขนาดไม่เกิน 1 ซม.) ลักษณะค่อนข้างแข็ง ไม่เจ็บ และจับโยกไปมาได้ ไม่ยึดติดกับผิวหนังหรือเนื้อเยื่อข้างใต้ มักพบที่บริเวณใต้คาง (ซึ่งเป็นผลมาจากฟันผุหรือเจ็บคอบ่อย) และขาหนีบ (เป็นผลจากการอักเสบที่เท้าบ่อย ๆ)

ต่อมน้ำเหลืองจะบวมโตคลำได้เป็นก้อนเล็ก ๆ นานเป็นแรมเดือนแรมปี หรือตลอดไป โดยไม่มีอาการเจ็บปวด และไม่เกิดอันตรายแต่อย่างใด


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษา เชื้อโรคอาจลุกลามเข้ากระแสเลือด ทำให้กลายเป็นโลหิตเป็นพิษ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ในรายที่เป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบเฉียบพลัน ให้ยาแก้ปวดลดไข้ และยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี ไดคล็อกซาซิลลิน อีริโทรไมซิน หรือโคอะม็อกซิคลาฟ

แนะนำให้ผู้ป่วยใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ และยกแขนขาส่วนที่อักเสบให้สูง

ในรายที่เป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรัง ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด ยกเว้นให้การรักษาโรคติดเชื้อในบริเวณใกล้เคียงที่เป็นต้นเหตุ เช่น แก้ไขปัญหาฟันผุหรือคออักเสบ เป็นต้น


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น คลำได้ต่อมน้ำเหลืองบวมโต ในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ก้อนโตขึ้น หรือมีอาการเจ็บมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินหายใจ ช่องปาก และผิวหนัง

ข้อแนะนำ

ถ้าพบอาการต่อมน้ำเหลืองโตขนาดเกิน 1 ซม. ลักษณะค่อนข้างแข็ง ไม่เจ็บ ที่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณคอ ไหปลาร้า รักแร้ อาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และถ้าพบว่ามีต่อมน้ำเหลืองโตในลักษณะเดียวกันที่บริเวณอื่นร่วมด้วย อาจเป็นอาการของโรคเอดส์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรื้อรังนานเกิน 3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

7
motor show 2025: ยามาฮ่ายกทัพมอเตอร์ไซค์ พร้อมโปรโมชันแรง พร้อมเปิดราคา MT-09 Y-AMT ที่เหนือชั้นด้วยระบบเกียร์แบบใหม่

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่ายรถจักรยานยนต์คุณภาพชั้นนำของประเทศไทย ฉลองครบรอบ 60 ปี ในการทำธุรกิจในประเทศไทย เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมเปิดโลกยานยนต์ Bangkok International Grand Motor Sale 2024 หรือ BIG MOTOR SALE 2024 ด้วยแนวคิด YAMAHA THE PATH OF LIFE พร้อมเปิดราคา MT-09 Y-AMT Hyper Naked ระดับ Master of Torque ครั้งแรกในเมืองไทย
 
นายพงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยถึงแนวความคิดของบูธรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในงาน BIG MOTOR SALE 2024 ว่า “สำหรับแนวความคิดของยามาฮ่าในปีนี้คือ “YAMAHA THE PATH OF LIFE ร่วมเปิดประสบการณ์ของคุณ สัมผัสทุกความรู้สึก สร้างเรื่องราวแห่งชีวิต ให้มีความหมายในทุกการขับขี่ไปกับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า” เพื่อสร้างประสบการณ์ความเร้าใจใหม่ๆ ให้กับลูกค้า พร้อมเปิดราคารถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่ทุกคนรอคอย YAMAHA MT-09 Y-AMT เป็นครั้งแรกในเมืองไทย
 

นอกจากนี้ยังมีรถหลากหลายรุ่นครบทุกเซ็กเมนต์ ทั้งรถบิ๊กไบค์ และรถสแตนดาร์ดครบทุกรุ่นมาจัดแสดง เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษภายในงาน และรับ Gift Voucher สูงสุดกว่า 76,000 บาท เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี สำหรับลูกค้าที่สนใจ ขอเชิญชวนมาชม และสัมผัสรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าภายในงานได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2567 นี้ครับ”
 
นายธนะชัย เลขวนิชกุล ผู้จัดการทั่วไปธุรกิจรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าบิ๊กไบค์ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวถึงการเปิดตัวรถจักรยานยนต์ YAMAHA MT-09 Y-AMT Hyper Naked ระดับ Master Of Torque ในครั้งนี้ว่า “YAMAHA MT-09 Y-AMT” เครื่องยนต์ 890 ซีซี 3 สูบ CP3 เป็นรถที่สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ให้กับรถเน็กเก็ตระดับกลาง ล่าสุดมาพร้อมกับการปฏิวัติเครื่องยนต์ที่ได้มีการพัฒนาให้ยกระดับการขับขี่แบบสปอร์ต สร้างความสัมพันธ์อันเป็นเอกลักษณ์ระหว่างผู้ขับขี่ และเครื่องยนต์กับ YAMAHA MT-09 Y-AMT รุ่นแรกที่มีนวัตกรรม YAMAHA Automated Manual Transmission (Y-AMT) ใหม่
 
ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สนุกกับการขับขี่ที่เต็มสมรรถนะ อันเร้าใจด้วยระบบการเปลี่ยนเกียร์โดยใช้นิ้ว (MT) และ ระบบการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ (AT) เต็มรูปแบบ เพื่อให้การเปลี่ยนเกียร์แบบไม่ติดขัด ทำให้สนุกกับการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งท่านสื่อมวลชนหลายๆท่านได้ทดลองขับขี่ และพิสูจน์สมรรถนะของ YAMAHA MT-09 Y-AMT เรียบร้อยแล้ว และ ในวันนี้เราจะมาเปิดราคา YAMAHA MT-09 Y-AMT เป็นครั้งแรกในเมืองไทย

 
โดยเปิดราคาแนะนำที่ 519,000 บาท มีให้เลือก 3 สีได้แก่ Midnight Cyan, Icon Blue และ Tech Black สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของ YAMAHA MT-09 Y-AMT ภายในงาน BIG MOTOR SALE 2024 รับโปรโมชันสุดพิเศษ แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 20,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1 สาวก Hyper Naked ห้ามพลาดนะครับ”
 
“YAMAHA THE PATH OF LIFE - ร่วมเปิดประสบการณ์ของคุณ สัมผัสทุกความรู้สึก สร้างเรื่องราวแห่งชีวิต ให้มีความหมายในทุกการขับขี่ไปกับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า” ภายในงาน BIG MOTOR SALE 2024 ระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน 2567 นี้ สำหรับลูกค้าที่สนใจพร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษภายในงาน
 

โปรโมชันรถจักยานยนต์ยามาฮ่ารุ่นสแตนดาร์ด
YAMAHA XMAX แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 7,000 บาท พร้อมหมวกกันน็อค Max-series มูลค่า 1,500 บาท จำนวนจำกัด   
YAMAHA NMAX แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 5,000 บาท พร้อมชุดกล่องหลัง ตะแกรงหลัง และแผ่นยางกันรอย (ซ้าย-ขวา) มูลค่า 5,770 บาท พิเศษ 100 คันแรกเท่านั้น
YAMAHA AEROX แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 4,000 บาท พร้อม Jacket AEROX จำนวนจำกัด
YAMAHA GRAND FILANO HYBRID แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 2,000 บาท พร้อมหมวกกันน็อก YAMAHA สุดพรีเมี่ยม และเสื้อยืด Grandom
YAMAHA FAZZIO แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 2,000 บาท พร้อมหมวกกันน็อก Automatic และเสื้อยืด FAZZIO จำนวนจำกัด
YAMAHA WR155R แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท
YAMAHA XSR155, YAMAHA MT-15 และ YAMAHA R15 แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 8,000 บาท พร้อมหมวกกันน็อกสุดเท่ จำนวนจำกัด
YAMAHA EXCITER ปี 2023 แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 2,000 บาท
YAMAHA EXCITER ปี 2024 แถมฟรี กระเป๋าคาดอก EXCITER จำนวนจำกัด
YAMAHA FINN แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 1,000 บาท พร้อมบัตรกำนัล LOTUS มูลค่า 500 บาท จำนวนจำกัด
 

โปรโมชัน รถจักยานยนต์ยามาฮ่าบิ๊กไบค์
MT-09 Y-AMT แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 20,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
MT-09 SP แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 20,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
MT-07 แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 48,500 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
YZF-R7 แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 41,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
Tracer9 GT แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 76,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
Tenere700 แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 50,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
TMAX Tech Max แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 20,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
SR400 แถมฟรี Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท
 

โปรโมชัน Apparel & Accessories
ผลิตภัณฑ์ YAMALUBE ลดสูงสุด 10%
อุปกรณ์ตกแต่ง ลดสูงสุด 10%
หมวกกันน็อกยามาฮ่า ลดสูงสุดถึง 20%
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายยามาฮ่า ลดสูงสุด 50% (เฉพาะรุ่นที่กำหนด)
เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาท รับฟรี ที่รองแก้วยามาฮ่า มูลค่า 100 บาท
เมื่อซื้อสินค้าครบ 1,000 บาท รับฟรี แมสผ้ายามาฮ่า มูลค่า 150 บาท
เมื่อซื้อสินค้าครบ 2,000 บาท รับฟรี หมวกแก๊ปยามาฮ่า มูลค่า 390 บาท
 
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งช่องทางในการซื้อสินค้ายามาฮ่า โปรโมชันเดียวกันกับงาน BIG MOTOR SALE 2024 ผ่านทาง “Yamaha Online Shop” ที่เว็บไซต์

พิเศษ ลูกค้ารถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เพียงแสดง Yamaha Smart Reward Application ภายในงาน เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ YAMALUBE อะไหล่ตกแต่ง เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกาย รับคะแนนสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า (โปรดแจ้งการสะสมคะแนนต่อเจ้าหน้าที่ ณ จุดชำระเงินก่อนการชำระเงิน) สามารถดาวน์โหลดแล้วล็อคอินวันนี้ รับฟรีทันที 5,000 คะแนน พร้อมสิทธิพิเศษมากมาย

8
รีวิวบ้านใหม่ 2025: บ้านหรูโครงการ "แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์" ในราคาเริ่มต้น 30 ลบ.*

พามาชมคฤหาสถ์หรูโครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ (Grand Bangkok Boulevard Chaengwatthana-Ratchaphruek) จาก SC ASSET ที่เพิ่ง Sold Out เฟสแรกไปไม่นานมานี้

ข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ : แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ (Grand Bangkok Boulevard Chaengwatthana-Ratchaphruek)
เจ้าของโครงการ : บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด
เนื้อที่โครงการ : 40-1-6.6 ไร่
จำนวนบ้าน : 64 หลัง
เนื้อที่บ้าน :  ตั้งแต่ 100 ตร.ว.
ที่จอดรถ :  ตั้งแต่ 3-5 คัน
ราคาเริ่มต้น : 30 -70 ลบ.*

ทำเลที่ตั้ง
สำหรับโครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ (Grand Bangkok Boulevard Chaengwatthana-Ratchaphruek) ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนนชัยพฤกษ์ ใกล้ถนนราชพฤกษ์ และถนนแจ้งวัฒนะ ให้คุณได้เชื่อมต่อทุกเส้นทางการเดินทางด้วยทางด่วนศรีรัช และรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีปากเกร็ด
ที่ตั้ง : ตำบล บางพลับ อำเภอปากเกร็ด นนทบุรี 11120


📍สถานที่ใกล้เคียง
ห้างสรรพสินค้า
โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์                     
เดอะ คริสตัล ชัยพฤกษ์                                                             
ชิค รีพับลิค ราชพฤกษ์                                                           .
เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ                                                                 
 
สถานศึกษา
SISB นนทบุรี                                                                               
เด่นลา บริติช สคูล                                                                     
ฮาร์โรว์ อินเตอร์เนชั่นแนล สคูล บางกอก                               
 
ศูนย์สุขภาพ
โรงพยาบาลปากเกร็ด                                                               
โรงพยาบาลเวิร์ดเมดิคอล                                                     
 
การคมนาคม
ถนน.ชัยพฤกษ์                                                                           
ถนน ราชพฤกษ์                                                                       
ถนน แจ้งวัฒนะ                                                                       
ทางด่วนศรีรัช                                                                           
รถไฟฟ้าสายสีชมพู (สถานีปากเกร็ด)
                           
ส่วนกลาง
โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ (Grand Bangkok Boulevard Chaengwatthana-Ratchaphruek) มาพร้อมส่วนกลางขนาดใหญ่ เมื่อเข้ามาในโครงการมาจะพบกับอาคาร Clubhouse พื้นที่ส่วนกลางที่รองรับทุกไลฟ์สไตล์ มีทั้งสระว่ายน้ำ  Co-working Space รวมไปถึงห้องสตีม และมีพื้นที่สำหรับเด็กๆ อย่าง Kids’s room นอกจากนี้ยังมีสวนส่วนกลางขนาด 1 ไร่อีกด้วย

รูปแบบบ้าน
ลักษณะบ้านของโครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ (Grand Bangkok Boulevard Chaengwatthana-Ratchaphruek) ถูกออกแบบจากแรงบันดาลใจเมือง MADRID ประเทศสเปน ทำให้ทุกพื้นที่ของทั้งบ้าน และส่วนกลางเต็มไปด้วยความปราณีต  อีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการ คือพื้นที่จอดรถที่กว้างขวาง สามารถจดรถได้สูงสุดถึง 5 คัน พร้อมรองรับฟังก์ชั่น AUTOMATIC GARAGE หรือที่จอดรถแบบอัตโนมัติ

9
จัดฟันบางนา: ข้อแนะนำการใช้ และรักษาดูแล “รีเทนเนอร์” ที่ถูกต้อง

“รีเทนเนอร์” ก็คือเครื่องมือคงสภาพฟันหลังจากการถอดอุปกรณ์จัดฟันออก ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าหากทำการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ทำการใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอก็อาจจะทำให้ฟันกลับไปยังตำแหน่งเดิมหรืออาจจะผิดรูปไปเลยก็ได้ รีเทนเนอร์จึงถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญมากๆในการคงสภาพฟันหลังถอดอุปกรณ์จัดฟัน และสามารถรักษาอาการในช่องปากชนิดอื่นๆบางชนิดอีกด้วย จึงควรใส่อย่างสม่ำเสมอตามที่ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

ซึ่งในวันนี้จะขอมาเอาใจท่านผู้อ่านที่กำลังจัดฟัน หรือกำลังใส่รีเทนเนอร์อยู่ รวมถึงผู้ที่คิดว่ากำลังจะจัดฟันได้ทราบถึงข้อมูล วิธีใช้ และการดูแลรักษา รีเทนเนอร์ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ความผิดปกติอื่นๆ ที่รีเทนเนอร์รักษาได้ ?

อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า “รีเทนเนอร์” มีหน้าที่หลักๆก็คือ คงสภาพฟันหลังจากที่ถอดอุปกรณ์จัดฟัน ไม่ให้กลับไปตำแหน่งเดิมก่อนที่จะทำการใส่อุปกรณ์จัดฟัน แถมยังสามารถรักษาโรคผิดปกติต่างๆดังต่อไปนี้

– ฟันห่าง

การใส่รีเทนเนอร์นั้นสามารถช่วยให้ผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันเพียงเล็กน้อย สามารถเคลื่อนกลับมาปิดสนิทได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำการจัดฟันและใช้ระยะเวลาไม่นาน

– ภาวะลิ้นยื่นเข้าออกช่องปากตลอดเวลา

สามารถแก้ไขอาการภาวะลิ้นยื่นได้ด้วยรีเทนเนอร์ที่ออกแบบมาเพื่อบังคับให้ลิ้นแตะเพดานปากและไม่ลอดออกมาในขณะพูด

– ความผิดปกติข้อต่อขากรรไกร

ความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร จะทำให้เกิดการสบฟันที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการนอนกัดฟัน ซึ่งเป็นหนึ่งในต้อนเหตุของการทำลายเคลือบฟัน ส่งผลให้สุขภาพฟันไม่แข็งแรง ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้ใส่รีเทนเนอร์เพื่อป้องกันความผิดปกติดังกล่าว


ข้อแนะนำในการใช้รีเทนเนอร์

ต้องขอบอกเลยว่าจริงๆแล้วรีเทนเนอร์มีอายุการใช้งานหลายปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านผู้ใช้จะทำการดูแลรักษาได้ดีพอหรือไม่ ซึ่งหากทำตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้รับรองว่าท่านจะสามารถใช้รีเทนเนอร์ได้นานที่สุดโดยมีรายละเอียดดังนี้

– ควรเก็บรีเทนเนอร์ไว้ในที่มิดชิด และสำคัญที่สุดคือต้องห่างจากบริเวณที่เสี่ยงต่อการสัมผัสความร้อน เช่น ไมโครเวฟ เครื่องเป่าผม เตาแก๊ส และที่สำคัญห้ามทำความสะอาดรีเทนเนอร์ด้วยน้ำร้อนเด็ดขาด

– ควรแช่รีเทนเนอร์ในน้ำทุกครั้งที่ทำการถอดออก เพราะหากว่าปล่อยไว้ให้แห้งรีเทนเนอร์จะสามารถแตกหักได้ง่ายกว่าปกติ

– ไม่ควรแช่รีเทนเนอร์ในน้ำที่มีสารเคมี เช่น น้ำยาบ้วนปาก หรือน้ำยาล้างฟันปลอม ควรแช่ในน้ำสะอาดเท่านั้น

– ทำความสะอาดกล่องใส่รีเทนเนอร์ด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำสบู่ และเช็ดให้แห้ง อย่าให้อับชื้นเพราะจะทำให้เกิดเชื้อโรคได้

– หากว่ารีเทนเนอร์แตกหัก หรือผิดรูปร่าง รวมถึงมีคราบสกปรกที่ไม่สามารถทำความสะอาดให้ออกได้ ควรรีบนำไปให้ทันตแพทย์ดูเพื่อเปลี่ยนอันใหม่ และให้ทำการเปลี่ยนรีเทนเนอร์ตามระยะเวลาที่ทันตแพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด


วิธีทำความสะอาดรีเทนเนอร์ที่ถูกต้อง ?

– เมื่อทำการถอดรีเทนเนอร์ออกให้ทำความสะอาดคราบสกปรกในทันที หากปล่อยทิ้งไว้คราบต่างๆอาจเกาะติดแน่นจนไม่สามารถทำความสะอาดออกได้

– ใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม กับน้ำอุ่นที่ผสมยาสีฟันในการล้างทำความสะอาดทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ

– ใช้ก้านสำลีขนาดเล็กเช็ดทำความสะอาดในซอกที่ยากต่อการใช้แปรงสีฟันเข้าถึง พยายามทำความสะอาดทุกซอกให้สะอาดเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของเศษอาหารและเชื้อโรคต่างๆ

– ปรึกษาทันตแพทย์ทุกครั้งหากว่านำรีเทนเนอร์ไปแช่น้ำยาบ้วนปาก เพื่อให้ทันตแพทย์ตรวจสอบรีเทนเนอร์ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในระยะยาว และควรฟังคำแนะนำจากทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด

– ที่สำคัญที่สุดหากว่ารีเทนเนอร์มีปัญหาเพียงเล็กน้อย ก็ควรเข้าพบทันตแพทย์เพื่อให้ตรวจเช็คสภาพก่อนนำมาใช้เพื่อความปลอดภัยของช่องปากท่านเอง

10
motor show 2025: มอเตอร์ไซค์ สุดคุ้ม 5 รุ่นต้องจัด

มอเตอร์ไซค์ที่ให้ความคุ้มค่าแก่เราทุกบาททุกสตางค์ เพราะมีทั้งค่าตัวที่สมเหตุสมผล ความประหยัดน้ำมันที่เหลือล้น รวมถึงออพชันที่เพียงพอต่อการใช้งาน
 
การเลือกมอเตอร์ไซค์เพื่อรองรับการใช้งานจริงจังและให้คุ้มค่าเงินที่จ่ายไป เป็นปัจจัยสำคัญของใครหลายคนที่ใช้มอเตอร์ไซค์เพื่อหารายได้ ตลอดจนเดินทางในชีวิตประจำวันทุกวัน และนี่คือมอเตอร์ไซค์ 5 รุ่น ที่คุ้มค่าคุ้มราคา


Yamaha NMAX 155 Standard
 
ราคา 95,000 บาท
 
ยามาฮ่า NMAX 155 แสตนดาร์ด ขี่ง่ายเหมาะกับใช้งานในชีวิตประจำวัน
 
Yamaha NMAX ออโตเมติกพรีเมียมสปอร์ต มาพร้อมเครื่องยนต์ Blue Core 155 ซีซี ผสาน VVA และ ABS Dual Channel คุ้มค่ากว่าด้วยการรับประกันมากกว่าถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร มาพร้อมกับสีสันใหม่ สไตล์ MAX Series โดยในรุ่น NMAX Standard มีสีน้ำเงิน (Dull Blue), สีเทา Power Grey, สีดำ Yamaha Black
 


Honda Wave 110i รุ่นล้อซี่ลวด สตาร์ทเท้า ดรัมเบรก
 
ราคา 37,100 บาท
 
ฮอนด้า Wave 110i รุ่นล้อซี่ลวด สตาร์ตเท้า ดรัมเบรก ด้วยราคาไม่ถึง 4 หมื่นบาท ค่าตัวถูกเหมาะกับการใช้หารายได้
 
Honda Wave 110i รุ่นนี้ มาพร้อมความประหยัด แรง ทนทาน กับขุมพลัง Honda Smart Engine ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 110 ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบสตาร์ทเท้า จับคู่กับเกียร์วน 4 ระดับ ให้อัตราประหยัดน้ำมันสูงถึง 76.9 กม./ลิตร วิ่งได้ไกลอย่างต่อเนื่องด้วย Fuel Tank ความจุ 5 ลิตร ทั้งยังใช้งานสะดวกด้วยหน้าปัดเรือนไมล์แบบ Digital และกล่อง U-box ขนาดใหญ่ 10 ลิตรเก็บของได้อย่างจุใจ
 


Yamaha FINN ล้อซี่ลวด สตาร์ทมือ ดรัมเบรก
 
ราคา 41,200 บาท
 
ยามาฮ่า FINN ล้อซี่ลวด สตาร์ทมือ เป็นรุ่นที่เน้นความประหยัด คุ้มค่าต่อการใช้งานตลอดวัน
 
Yamaha Finn รุ่นนี้มีแรงดี ทนทาน ประหยัดจริง พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 115 ซีซี ลูกสูบเดี่ยว SOHC จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดอัจฉริยะ ควบคุมด้วยสมองกล ECU สั่งจ่ายน้ำมันได้อย่างประหยัด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมรองรับการใช้น้ำมัน E20 คุ้มค่าด้วยการรับประกันมากถึง 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
 


Solar Groove Cross Camp
 
ราคา 45,900 บาท
 
โซล่า GROOVE CROSS CAMP เหมาะกับไรเดอร์ที่ต้องบรรทุกกล่องด้านหลังรถ ใช้งานประหยัด
 
GROOVE CROSS CAMP มาพร้อมกับชุดแต่งที่เพิ่มความสวยงาม และอรรถประโยชน์ในการใช้งานสำหรับสายแคมป์ สายลุย ชุดแต่งด้านหน้า Head Light Protector ปกป้องไฟหน้า และ Front Compact Carrier เพิ่มพื้นที่วางสัมภาระด้านหน้าตัวรถ ชุดแต่งด้านหลัง Rear Bag Carrier แรควางสัมภาระขนาดใหญ่ด้านหลัง ที่มาพร้อมกับจุดยึดกระเป๋าเสริมด้านข้าง ชุดแต่ง Engine Guard ปกป้องเครื่องยนต์ รวมถึง Chain Guard เสริมให้รถดูน้ำหนักเบา นอกจากนี้ยังมีดีไซน์โช๊คอัพยกสูงพร้อมสี Ultra Black ตกแต่งพิเศษสไตล์ Gloss Matt Active
 
ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 4 จังหวะ สูบเดี่ยว ขนาดความจุ 123 ซี.ซี. SOHC 2 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยอากาศ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาบูเรเตอร์ เกียร์วน 4 สปีด ความจุถังน้ำมันขนาด 3.5 ลิตร
 

Suzuki Smash 115 Fi  ดรัมเบรก สตาร์ทเท้า ล้อซี่ลวด (JA)
 
ราคา 39,800 บาท
 
ซูซูกิ  Smash 115 Fi รถครอบครัวประหยัดค่าตัวและน้ำมันอีกรุ่น ใช้งานได้สบายใจและไม่ซ้ำใครเพราะหายากกว่ารุ่นอื่น ๆ
 
Suzuki Smash 115 Fi รุ่นนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 113 ซีซี ทำงานร่วมกับระบบจ่ายเชื้อเพลิงหัวฉีด Fi พร้อม LEaP Technology ผสานกับระบบเกียร์โรตารี่ 4 ระดับ ให้แรงบิดที่ดีในรอบต่ำและกลาง ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ขับขี่ง่าย ให้ความคล่องตัว มีลายกราฟฟิกใหม่โดนใจให้เลือกทั้งแบบโมโนโทนและทูโทน รูปโฉมโฉบเฉี่ยว เพรียวบาง จนใคร ๆ ต้องเหลียวมอง
 

11
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: ไขสันหลังอักเสบ (Transverse Myelitis)

Transverse Myelitis (ไขสันหลังอักเสบ) เป็นการอักเสบบริเวณไขสันหลังที่มักจะส่งผลต่อเซลล์ประสาทและปลอกหุ้มใยประสาทที่เรียกว่ามัยอีลิน (Myelin) ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต มีปัญหาด้านประสาทสัมผัส กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ทำงานผิดปกติ ซึ่งสาเหตุอาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อ โรคระบบภูมิคุ้มกัน โรคปลอกประสาท หรือปัญหาสุขภาพบางประการ

โดยทั่วไป ผู้ป่วย Transverse Myelitis อาจใช้เวลารักษาตัวนานหลายเดือนหรือหลายปี ซึ่งแม้จะเข้ารับการรักษาแล้ว บางรายอาจมีอาการหลงเหลืออยู่บางส่วน ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจพิการหรือไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามปกติ และหากผู้ป่วย Transverse Myelitis มีสาเหตุจากโรคประจำตัวก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้


อาการของ Transverse Myelitis

สัญญาณอาการของ Transverse Myelitis อาจปรากฏขึ้นแบบเฉียบพลันภายใน 2–3 ชั่วโมงจนถึง 2–3 วัน หรือแบบกึ่งเฉียบพลันที่จะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และกินเวลานานหลายสัปดาห์ โรคนี้มักส่งผลต่อร่างกายทั้งสองข้าง แต่บางครั้งอาจเกิดอาการเพียงข้างใดข้างหนึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ไขสันหลังนั้นอักเสบหรือถูกทำลาย

โดยอาการหลักของ Transverse Myelitis จะมีดังต่อไปนี้

    ปวดตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย อาทิ หลังส่วนล่าง ปวดแปลบร้าวลงมาที่แขน ขา หรือรอบลำตัว
    ปัญหาด้านประสาทสัมผัสตามขา เท้า นิ้วเท้า หรือแขน เช่น อาการชา ความรู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่ม เย็น แสบร้อน ไวต่อการสัมผัส ไวต่อความร้อนหรือความเย็นจัด เป็นต้น
    แขนหรือขาอ่อนแรง เดินสะดุดเท้า เดินลากเท้าข้างใดข้างหนึ่ง หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงอาจส่งผลให้เป็นอัมพาตบริเวณขาบางส่วนหรือขาทั้งสองข้าง
    กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ทำงานผิดปกติ เช่น ปัสสาวะถี่ ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะลำบาก หรือท้องผูก

นอกจากนั้นยังมีอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อหดเกร็ง รู้สึกไม่สบายตัว ปวดศีรษะ มีไข้ เบื่ออาหาร ปัญหาในระบบทางเดินหายใจ รวมไปถึงหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึมเศร้า และวิตกกังวลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

ในกรณีผู้ป่วยพบสัญญาณอาการเข้าข่าย Transverse Myelitis ควรไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาการเหล่านี้ยังอาจเป็นผลมาจากโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ที่ควรต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉิน และการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไขสันหลังจากการผ่าตัดหลอดเลือดแดงใหญ่หรือลิ่มเลือดที่ควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที


สาเหตุของ Transverse Myelitis

สารมัยอีลินเป็นเนื้อเยื่อไขมันชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายฉนวนไฟฟ้า ทำหน้าที่ช่วยปกป้องใยประสาทและเซลล์ประสาท หากสารมัยอีลินบริเวณไขสันหลังถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอาจส่งผลต่อเซลล์ประสาทจนเกิดการอักเสบได้ ทั้งนี้ทางการแพทย์ยังไม่ทราบต้นตอของการเกิดไขสันหลังอักเสบอย่างแน่ชัด แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้


โรคติดเชื้อ

การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อปรสิตบริเวณไขสันหลังอาจก่อให้เกิดการอักเสบในบริเวณดังกล่าวได้ โดยตัวอย่างเชื้อโรคแต่ละประเภทก็เช่น

    การติดเชื้อไวรัส : โรคเริม ไวรัสซีเอ็มวี (CMV) ไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus) ไวรัสเอชไอวี (HIV) ไวรัสตับอักเสบบี ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน
    การติดเชื้อแบคทีเรีย : โรคไลม์ โรคซิฟิลิส วัณโรค กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ ไอกรน บาดทะยัก และคอตีบ
    การติดเชื้อรา : เชื้อราแอสเปอร์จิลลัส (Aspergillus) เชื้อราบลาสโตไมซิส (Blastomyces) หรือโรคคริปโตคอกโคสิส (Cryptococcosis)
    การติดเชื้อปรสิต : โรคทอกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) หรือโรคขี้แมว และโรคพยาธิตืดหมู


โรคระบบภูมิคุ้มกัน

ปัญหาสุขภาพที่อาจส่งผลให้เกิดไขสันหลังอักเสบ เช่น

    โรคระบบภูมิคุ้มกันที่ส่งผลต่อสารมัยอิลีน : โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis: MS) และโรคปลอกประสาทอักเสบชนิดเอ็นเอ็มโอ (Neuromyelitis Optica: NMO)
    โรคระบบภูมิคุ้มกันที่ก่อการอักเสบ : โรคพุ่มพวงหรือโรคลูปัส (Lupus) กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s Syndrome) โรคซาร์คอยโดสิส (Sarcoidosis) หรือโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบตามอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย 


การวินิจฉัย Transverse Myelitis

ในเบื้องต้นนั้นแพทย์จะสอบถามถึงอาการที่เกิดขึ้น ประวัติทางสุขภาพ ร่วมกับประเมินผลทดสอบการทำงานของระบบประสาทจากวิธีการตรวจต่าง ๆ เช่น


การถ่ายภาพทางรังสี

การทำ CT Scan หรือ MRI Scan จะช่วยให้แพทย์มองเห็นการอักเสบบริเวณไขสันหลัง ปลอกหุ้มใยประสาทที่เสียหาย และความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อไขสันหลังหรือหลอดเลือด อาทิ ก้อนเนื้องอก หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือช่องไขสันหลังตีบแคบ


การเจาะน้ำไขสันหลัง

เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กเก็บตัวอย่างน้ำไขสันหลัง หรือก็คือของเหลวบริเวณรอบไขสันหลังและสมองออกมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวและโปรตีนบางชนิดในน้ำไขสันหลังที่จะช่วยบ่งบอกถึงการอักเสบหรือการติดเชื้อในร่างกายได้


การตรวจเลือด

แพทย์จะตรวจเลือดของผู้ป่วยเพื่อหาเชื้อโรคต้นเหตุของไขสันหลังอักเสบ หรือเพื่อยืนยันว่า ไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่มักก่อให้เกิดอาการคล้ายคลึงกัน อย่าง โรคลูปัส การติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคปลอกประสาทอักเสบชนิดเอ็นเอ็มโอ


การรักษา Transverse Myelitis

Transverse Myelitis ยังไม่มีวิธีรักษา จึงทำได้เพียงควบคุมและบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นด้วยการใช้ยาและการบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายควบคู่กันไป อาทิ


การใช้ยา

ตัวอย่างยาที่แพทย์นำมาใช้มีดังนี้

    ยาสเตียรอยด์ อาจฉีดเข้าสู่หลอดเลือดโดยตรงหรือให้รับประทานเป็นยาเม็ด เพื่อลดอาการอักเสบบริเวณกระดูกสันหลัง หากยาสเตียรอยด์ใช้ไม่ได้ผล ผู้ป่วยอาจต้องกรองพลาสมาในเลือด (Plasmapheresis) โดยเป็นการนำพลาสมาไม่ดีทิ้งไปแล้วนำเม็ดเลือดแดงที่ดีและสารน้ำทดแทนเข้าสู่ร่างกาย     
    ยา Intravenous Immunoglobulin (IVIg) เป็นแอนติบอดีของผู้มีสุขภาพดีที่จะถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย เพื่อกำจัดแอนติบอดีที่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่าง ๆ 
    ยาต้านไวรัส แพทย์อาจจ่ายยาในกลุ่มนี้ให้หากผู้ป่วยเป็นไขสันหลังจากการติดเชื้อไวรัส
    ยาแก้ปวด อาการปวดเรื้อรังอันเป็นอาการแทรกซ้อนมักบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไปอย่างยาพาราเซตามอล ยาไอบูโพรเฟน หรือยานาพรอกเซน ส่วนอาการปวดเส้นประสาทอาจรักษาด้วยยาต้านเศร้าและยากันชักบางชนิด
    ยารักษาภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจจ่ายยาที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาหรือควบคุมอาการแทรกซ้อนของแต่ละคน เช่น กล้ามเนื้อหดเกร็ง กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ทำงานผิดปกติ ภาวะซึมเศร้า ปัญหาทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น 
    ยาป้องกัน Transverse Myelitis กำเริบ เนื่องจากผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคซ้ำหรือพัฒนาไปสู่โรคเส้นประสาทตาอักเสบได้ หากมีสาเหตุมาจากโรคเกี่ยวกับปลอกประสาท จึงต้องรับประทานยาคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องตามดุลยพินิจของแพทย์

ทั้งนี้หากอาการที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการหายใจ ผู้ป่วยอาจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เพื่อป้องกันร่างกายขาดออกซิเจนและการเป็นอัมพาตขณะรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือสถานที่พักฟื้น


การบำบัด

แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดเพื่อฟื้นฟูและดูแลตัวเองในระยะยาว ดังนี้

    กายภาพบำบัด เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ได้ รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้การใช้ไม้เท้า วีลแชร์ เครื่องพยุงหลัง หรืออุปกรณ์พยุงร่างกายอื่น ๆ อย่างถูกวิธี
    กิจกรรมบำบัด จะส่งเสริมให้ผู้ป่วยเรียนรู้การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ เช่น การแต่งตัว การทำอาหาร การอาบน้ำ หรือการทำความสะอาดบ้าน
    จิตบำบัด เป็นการพูดคุยเพื่อรักษาอาการวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ รวมถึงปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรมจากการอยู่ร่วมกับโรคนี้

อย่างไรก็ตามผู้ป่วย Transverse Myelitis ส่วนใหญ่มักดีขึ้นบางส่วนภายใน 3 เดือนแรก แต่บางคนอาจใช้เวลานานถึง 2 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งในกรณีนี้ผู้ป่วยอาจจะไม่หายดีเป็นปกติ โดยจะมีปัญหาในการเดิน ชาหรือรู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่ม กระเพาะปัสสาวะและลำไส้มีปัญหา หรืออาจเป็นอัมพาตตลอดชีวิตในผู้ป่วยบางราย ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคและวิธีการรักษาในช่วงแรก ๆ


ภาวะแทรกซ้อนของ Transverse Myelitis

ผู้ป่วย Transverse Myelitis อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการปวดในระยะยาว กล้ามเนื้อหดเกร็งโดยมักพบมากบริเวณขาทั้งสองข้างและก้น เป็นอัมพาตบริเวณแขนหรือขาบางส่วนหรือทั้งหมด หย่อนสมรรถภาพทางเพศ โดยผู้ชายอาจมีปัญหาอวัยวะเพศแข็งตัวและจุดสุดยอด หรือผู้หญิงอาจถึงจุดสุดยอดได้ยาก รวมไปถึงภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลที่เป็นผลมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ความเครียดจากอาการปวด หรือปัญหาความสัมพันธ์ทางเพศของผู้ป่วย

 
การป้องกัน Transverse Myelitis

เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แท้จริงของ Transverse Myelitis จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่เฉพาะเจาะจง แต่ผู้ป่วยอาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ โดยควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของตัวเองและตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เข้ารับการรักษาปัญหาสุขภาพใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การอักเสบที่ไขสันหลังได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และดูแลตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

12
มอเตอร์ไซด์ใหม่ 2025 ฮอนด้า Honda PCX 160 RoadSync ปี 2025
99,900 บาท

ฮอนด้า Honda PCX 160 RoadSync ปี 2025
Honda PCX 160 รุ่น RoadSync เสริมเอกลักษณ์แห่งความภูมิใจด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่ ทรง Victory Shape พร้อมไฟเลี้ยว LED เพิ่มการส่องสว่าง และไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตพรีเมียม ทั้งนี้ มาพร้อมพลังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ eSP+ 4 วาล์ว 157 ซีซี. ให้สมรรถนะแรงต่อเนื่อง ส่งเต็มกำลัง สมูท ลื่นไหล ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบเบรก ABS ล้อหน้าที่มาพร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน นอกจากนั้นยังมีพื้นที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่จุได้ 30 ลิตร และกุญแจรีโมตอัจฉริยะ Honda SMART KEY & CONTROLLER ที่สั่งงานง่ายเพียงบิดสวิตช์ มีวางจำหน่ายในเฉดสีใหม่ ทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน Innovate Blue และ สีแดง-ดำ Matt Red ราคาแนะนำที่ 99,900 บาท

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                 Honda
   รุ่น                      ฮอนด้า Honda PCX 160 RoadSync ปี 2025
   ประเภทรถ             รถครอบครัวแบบสกู๊ตเตอร์
   ปีที่เปิดตัว              2025
   ราคา                   99,900 บาท
สเปค

   รูปแบบเกียร์               เกียร์ออโต้
   ระบบเกียร์                 V-Matic แบบสายพาน (V-Belt)
   รายละเอียดเครื่องยนต์   SOHC แบบซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์
   ระบบระบายความร้อน    น้ำ
   ระบบสตาร์ท              สตาร์ทเท้าพร้อมไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)  156.93 CC
   แบบเครื่องยนต์           4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด            Full Transistorized
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง   เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, แก๊สโซฮอล์ E20, เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน             หัวฉีด (PGM-Fi)
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)    8.1 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน           ล้อหน้า เทเลสโคปิค, ล้อหลัง ยูนิตสวิง
   ระบบเบรค                  ล้อหน้า ดิสก์เบรก (Combi Brake), ล้อหลัง ดรัมเบรก ()
   แบบวงล้อ                   แมกซ์
   ขนาดยาง                         ล้อหน้า 110/70-14 M/C 50P Tubeless, ล้อหลัง 130/70-13 M/C 63P Tubeless
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)   1,936 X 742 X 1,123 มม.
   น้ำหนักตัวรถ                     133.00 กก.

13
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



14
พูดคุยเรื่องทั่วไป / หมอออนไลน์: ไข้เลือดออก
« เมื่อ: วันที่ 17 มกราคม 2025, 12:07:50 น. »
หมอออนไลน์: ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง ซึ่งพบได้ในทุกกลุ่มอายุ พบมากสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี รองลงมา 15-24 ปี และ 0-4 ปีตามลำดับ

โรคนี้พบได้ตลอดทั้งปี และทั่วทุกภาค โดยจำนวนผู้ป่วยเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตอนต้นเดือนพฤษภาคม จนมีจำนวนสูงสุดในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูฝน แล้วเริ่มมีแนวโน้มลดลงตอนปลายเดือนตุลาคม โรคนี้มีแนวโน้มเกิดการระบาดปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี (dengue virus) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ ได้แก่ 1, 2, 3 และ 4

โดยทั่วไปเมื่อได้รับเชื้อไวรัสเด็งกีเข้าไปครั้งแรก (สามารถติดเชื้อตั้งแต่อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป) โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 3-15 วัน (ส่วนมาก 5-7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่อยู่ 5-7 วัน และส่วนมากจะไม่มีอาการเลือดออก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีเลือดออก หรือมีอาการรุนแรง เรียกว่า ไข้เด็งกี (dengue fever/DF)*

ต่อมาเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก (ซึ่งอาจเป็นเชื้อเด็งกีชนิดเดียวกัน หรือคนละชนิดกับที่ได้รับครั้งแรกก็ได้ และมีระยะฟักตัวสั้นกว่าครั้งแรก) ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะ และเกล็ดเลือดต่ำ จึงทำให้พลาสมา (น้ำเลือด) ไหลซึมออกจากหลอดเลือด (ตรวจพบระดับฮีมาโตคริตสูง มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง) และมีเลือดออกง่าย เป็นเหตุให้เกิดภาวะช็อก

โดยทั่วไปการติดเชื้อครั้งหลัง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มักจะเกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อครั้งแรกประมาณ 6 เดือนถึง 5 ปี มักจะทิ้งช่วงไม่เกิน 5 ปี ด้วยเหตุนี้ไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรง จึงมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีมากกว่าในวัยอื่น

โรคนี้มียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค กล่าวคือ ยุงลายจะกัดคนที่เป็นไข้เลือดออกก่อน แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียง (ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร) ก็จะแพร่เชื้อให้คนอื่น ๆ ต่อไป ยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ จานรองตู้กับข้าว แจกัน ฝากะลา กระป๋อง หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น เป็นยุงที่ออกหากิน (กัดคน) ทั้งในกลางวันและกลางคืน
 

ยุงลาย

* ไข้เด็งกี (dengue fever) เกิดจากการติดเชื้อเด็งกีครั้งแรกในชีวิต ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จัดว่าเป็นโรคที่ไม่รุนแรง ซึ่งมักหายได้เองเป็นส่วนใหญ่แม้จะไม่ได้ใช้ยา หรือเพียงให้ยาบรรเทาตามอาการ เนื่องเพราะเป็นการติดเชื้อไวรัสซึ่งไม่มียารักษาจำเพาะ

อาการที่พบได้ก็คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดยมักไม่มีอาการเป็นหวัดเจ็บคอแบบไข้หวัด ผู้ป่วยอาจมีผื่นแดงเล็กคล้ายหัดขึ้นตามตัว (ซึ่งบางรายอาจมีอาการคัน) บางรายอาจมีจุดแดง (จุดเลือดออก) ตามผิวหนัง

บางรายเมื่อทำการทดสอบทูร์นิเคต์อาจให้ผลบวก การตรวจเลือดพบว่าเม็ดเลือดขาวต่ำ และบางรายอาจพบเกล็ดเลือดต่ำ

โรคนี้มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ โดยที่ผู้ป่วยอาจรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน หรือหากไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะวินิจฉัยจากอาการ (โดยไม่ได้ทำการทดสอบทูร์นิเคต์ และไม่ได้ตรวจเลือด) ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ (เช่น ไข้ปวดข้อยุงลาย ไข้ซิกา) เพียงให้การรักษาตามอาการและติดตามสังเกตอาการ ซึ่งมักจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นไข้เด็งกี

ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อเด็งกีครั้งแรก จึงมักจะไม่รู้ว่าตัวเองเคยติดเชื้อเด็งกี หากในเวลาต่อมาเกิดการติดเชื้อเด็งกีซ้ำ ก็จะกลายเป็นไข้เลือดออกได้

อาการ

อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ซึ่งมักมีลักษณะไข้สูงลอยตลอดเวลา หรือกินยาลดไข้ก็มักจะไม่ทุเลา

มักมีอาการหน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย นอนซม เบื่ออาหาร 

บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา หรือปวดท้องทั่วไป ท้องผูกหรือถ่ายเหลว 

ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมากอย่างผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดหรือออกหัด แต่บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงเล็กน้อย หรือไอบ้างเล็กน้อย

ในราววันที่ 3 ของไข้ อาจมีผื่นแดงขึ้นตามแขนขาและลำตัว ซึ่งจะเป็นอยู่ 2-3 วัน บางรายอาจมีจุดเลือดออก มีลักษณะเป็นจุดแดงเล็ก ๆ (บางครั้งอาจมีจ้ำเขียวด้วยก็ได้) ขึ้นตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้ ในช่องปาก (เพดานปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่)

ในระยะนี้อาจคลำพบตับโต และมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย

การทดสอบทูร์นิเคต์* ส่วนใหญ่จะให้ผลบวกตั้งแต่วันที่ 2 ของไข้ และในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว มักจะพบมีจุดเลือดออกมากกว่า 10-20 จุดเสมอ

ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยอยู่ประมาณ 2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรง ส่วนมากไข้ก็จะลดลงในวันที่ 5-7 บางราย อาจมีไข้เกิน 7 วันได้

แต่ถ้าเป็นมาก ก็จะปรากฏอาการระยะที่ 2

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4

อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงวิกฤติของโรค

อาการไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยกลับมีอาการทรุดหนัก มีอาการปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว (อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) และความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อก ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลงมาก ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยอาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว ตัวเย็นชืด ปากเขียว ชีพจรคลำไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที ก็อาจตายได้ภายใน 1-2 วัน

นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีน้ำมันดิบ ๆ ถ้าเลือดออกมักทำให้เกิดภาวะช็อกรุนแรง และผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

ระยะที่ 2 นี้จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤติไปได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านช่วงวิกฤติไปแล้วก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีก็จะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ อาการที่ส่อว่าดีขึ้นก็คือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากกินอาหาร แล้วอาการต่าง ๆ จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ระยะนี้อาจกินเวลา 7-10 วัน หลังผ่านระยะที่ 2

รวมเวลาตั้งแต่เริ่มป่วยเป็นไข้จนแข็งแรงดีประมาณ 7-14 วัน ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย อาจเป็นอยู่ 3-4 วันก็หายได้เอง ส่วนอาการไข้ (ตัวร้อน) อาจเป็นอยู่ 2-7 วัน บางรายอาจนาน 10 วันก็ได้

ความรุนแรงของไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกแบ่งระดับความรุนแรงเป็น 4 ขั้น ได้แก่

ขั้นที่ 1 (เกรด 1) มีไข้และมีอาการแสดงทั่ว ๆ ไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง อาการแสดงของการมีเลือดออกมีเพียงอย่างเดียว คือ มีจุดแดง ๆ ตามผิวหนังโดยไม่มีอาการเลือดออกอย่างอื่น ๆ และการทดสอบทูร์นิเคต์ให้ผลบวก

ขั้นที่ 2 (เกรด 2) มีอาการเพิ่มจากขั้นที่ 1 คือ มีเลือดออกเอง อาจออกเป็นจ้ำเลือดที่ใต้ผิวหนัง หรือเลือดออกจากที่อื่น ๆ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แต่ยังไม่มีภาวะช็อก ชีพจรและความดันโลหิตยังปกติ

ขั้นที่ 3 (เกรด 3) มีอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำ หรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่าง ซึ่งเรียกว่า แรงชีพจร** (pulse pressure) น้อยกว่า 30 มม.ปรอท (เช่น ความดันช่วงบน 80 ช่วงล่าง 60)

ขั้นที่ 4 (เกรด 4) มีภาวะช็อกอย่างรุนแรง ชีพจรเบาและเร็วจนจับไม่ได้ ความดันตกจนวัดไม่ได้ และ/หรือมีเลือดออกมาก เช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือดมาก

ไข้เลือดออกที่มีความรุนแรง ถึงขั้นที่ 3 และ 4 พบได้ประมาณร้อยละ 20-30 ที่เหลืออีกร้อยละ 70-80 จะแสดงอาการในขั้นที่ 1 และ 2

การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยตามขั้นต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเปลี่ยนจากขั้นที่ 2 มาขั้น 3 และ 4 ควรจับชีพจร วัดความดันโลหิต และถ้าเป็นไปได้ควรตรวจหาความเข้มข้นของเลือดโดยการเจาะเลือดตรวจฮีมาโทคริต และตรวจนับคำนวณเกล็ดเลือดเป็นระยะ

*การทดสอบทูร์นิเคต์ (tourniquet test) โดยใช้เครื่องวัดความดันรัดเหนือข้อศอกของผู้ป่วยด้วยค่าความดันกึ่งกลางระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างของคนคนนั้น (ความดันช่วงบนบวกความดันช่วงล่างหารสอง) เป็นเวลานาน 5 นาที
ถ้าไม่มีเครื่องวัดความดัน ให้ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย (ยังพอคลำชีพจรที่ข้อมือได้) นาน 5 นาที
ถ้าพบมีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนใต้ตำแหน่งที่รัดเป็นจำนวนมากกว่า 10 จุดในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว (เท่ากับเหรียญบาทโดยประมาณ) แสดงว่าการทดสอบได้ผลบวก ถ้าน้อยกว่า 10 จุดก็ถือว่าได้ผลลบ
ในผู้ป่วยไข้เลือดออก การทดสอบนี้จะได้ผลบวกได้มากกว่าร้อยละ 80 ตั้งแต่เริ่มมีไข้ได้ 2 วันเป็นต้นไป ใน 1-2 วันแรกอาจให้ผลลบ
คนที่เป็นโรคเลือดที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เช่น ไอทีพี โลหิตจางอะพลาสติก หรือคนที่เป็นไข้หวัด หรือไข้อื่น ๆ ก็อาจให้ผลบวกได้เช่นกัน
ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อก การทดสอบนี้อาจให้ผลลบได้
 

การทดสอบทูร์นิเคต์
 

**แรงชีพจร (ความดันชีพจร) ในคนปกติจะอยู่ระหว่าง 30-50 มม.ปรอท ถ้าน้อยกว่า 30 เรียกว่า "แรงชีพจรแคบ" เช่น 120/100, 90/70, 80/70 เป็นต้น ถ้ามากกว่า 50 เรียกว่า "แรงชีพจรกว้าง" เช่น 160/90, 150/70 เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ที่ร้ายแรงถึงทำให้เสียชีวิตได้ ได้แก่ ภาวะเลือดออกรุนแรง (ถ้ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารจำนวนมาก หรือมีเลือดออกในสมอง มักมีอัตราตายสูง) ภาวะช็อก และภาวะอวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอยู่นาน

นอกจากนี้ อาจเป็นปอดอักเสบ (อาจมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) สมองอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแทรกซ้อนได้ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

ผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ทารกเสียชีวิตในครรภ์ คลอดก่อนกำหนด  หรือทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย

ในกรณีที่ผู้ป่วยไข้เลือดออกได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำมากไป อาจเกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เป็นอันตรายได้ ดังนั้นเวลาให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ควรตรวจดูอาการอย่างใกล้ชิด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ ได้แก่ ไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส ซึ่งมักจะเป็นอยู่ตลอดเวลา) หน้าแดง เปลือกตาแดง นอนซม

อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดงหรือจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว การทดสอบทูนิเคต์ให้ผลบวก (อาจให้ผลลบในวันแรก ๆ ของไข้)

ในรายที่เป็นรุนแรง (มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ4) จะตรวจพบภาวะช็อก (มีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำหรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างน้อยกว่า 30 มม.ปรอท) บางรายอาจตรวจพบอาการเลือดออก (เช่น เลือดกำเดาไหลอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด)

ในรายที่ยังวินิจฉัยจากอาการและการตรวจร่างกายไม่ได้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเลือด พบเม็ดเลือดขาวมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 5,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร), เกล็ดเลือดมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 150,000 ตัวต่อเลือด 1ลูกบาศก์มิลลิเมตร), ฮีมาโทคริต (ซึ่งวัดระดับความเข้มของเลือด) สูงกว่าปกติ เนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลง

ในการวินิจฉัยโรคนี้ให้ชัดเจน แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในเลือด (ด้วยวิธี NS1 หรือ PCR ซึ่งจะให้ผลที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการไข้ 1-3 วัน) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไข้ตั้งแต่ 4 วันขึ้นไป แพทย์อาจทำการทดสอบทางน้ำเหลือง เพื่อดูสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้เลือดออกโดยวิธี ELISA (สามารถทราบผลจากการตรวจเพียงครั้งเดียว) หรือวิธี hemagglutination inhibition (HI ซึ่งต้องตรวจ 2 ครั้ง ห่างกัน 2 สัปดาห์)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าอาการไม่รุนแรง (มีอาการในขั้นที่ 1) คือเพียงแต่มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร โดยยังไม่มีอาการเลือดออกหรือมีภาวะช็อก จะให้การรักษาตามอาการ ดังนี้

    ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมาก ๆ
    หากมีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อย ๆ และให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล คำนวณขนาดตามน้ำหนักตัวหรือตามอายุ ให้ได้ไม่เกิน 4 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ห้ามให้แอสไพริน เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น หรืออาจทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรมได้ และห้ามให้ยาลดไข้กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ให้ยาลดไข้ บางครั้งไข้ก็อาจจะไม่ลดก็ได้ ระวังอย่าให้พาราเซตามอลถี่กว่ากำหนด อาจมีพิษต่อตับได้
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน) หรือสารละลายน้ำตาล เกลือแร่
    เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด อาจต้องนัดผู้ป่วยมาตรวจดูอาการทุกวัน ตรวจจับชีพจร วัดความดัน และตรวจดูอาการเลือดออก รวมทั้งทดสอบทูร์นิเคต์ ถ้าวันแรก ๆ ให้ผลลบ ก็จะทำซ้ำในวันต่อ ๆ มา

2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก มีภาวะขาดน้ำ ช็อก หรือเลือดออก (มีอาการในขั้นที่ 2-4) แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการเจาะเลือดตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต (ดูความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ ๆ ถ้าเลือดข้นมากไป เช่น ฮีมาโทคริตมีค่ามากกว่า 50% ขึ้นไป ก็แสดงว่าปริมาตรของเลือดลดน้อย) นับจำนวนเม็ดเลือดขาว และจำนวนเกล็ดเลือด (พบว่าต่ำกว่าปกติทั้งคู่ เกล็ดเลือดจะเริ่มต่ำประมาณวันที่ 3-4 ของไข้ โรคยิ่งรุนแรงเกล็ดเลือดจะยิ่งต่ำมาก)

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจอื่น ๆ เช่น อิเล็กโทรไลต์ในเลือด ตรวจการทำงานของตับ (มักพบ AST และ ALT สูง) ตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด (congulation study) ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด เป็นต้น

แพทย์จะทำการรักษา โดยให้น้ำเกลือรักษาภาวะช็อกหรือภาวะขาดน้ำ ถ้าจำเป็นอาจให้พลาสมาหรือสารแทนพลาสมา (เช่น แอลบูมินหรือเดกซ์แทรน) ให้เลือดถ้ามีเลือดออก และรักษาภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้เป็นปกติภายใน 1-2  สัปดาห์ ส่วนน้อยมากที่อาจเสียชีวิต (เฉลี่ยในผู้ป่วย 1,000 คน มีการเสียชีวิตประมาณ 1 คน) จากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เลือดออกรุนแรง มีภาวะช็อก อวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) มีการติดเชื้อแทรกซ้อน เป็นต้น ผู้ที่เสียชีวิตมักมีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัว (เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเลือด โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น) อายุต่ำกว่า 1 ปี กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เข้ารับการรักษาช้า หรือปล่อยให้มีอาการรุนแรงค่อยมาพบแพทย์

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงหรือมีไข้ตลอดเวลาร่วมกับอาการเบื่ออาหาร นอนซม หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้เลือดออก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้เลือดออก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาลดไข้-พาราเซตามอลตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร แม้ว่ากินยาแล้วไข้ไม่ยอมลดก็ห้ามกินถี่กว่าที่แนะนำ เพราะการใช้ยานี้มากเกินอาจมีพิษต่อตับได้
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาลดไข้-แอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน (ควรหลีกเลี่ยงน้ำที่มีสีแดง เพราะหากอาเจียนอาจทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นการอาเจียนออกเป็นเลือดหรือเป็นน้ำที่ดื่ม)
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน และหลีกเลี่ยงน้ำที่ออกสีเข้ม) หรือสารละลายน้ำตาลเกลือแร่


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการหนาวสั่นมาก
    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก กระสับกระส่าย หรือซึมมาก
    หายใจหอบ
    ปวดท้องตรงยอดอกหรือลิ้นปี่
    ซีด ตาเหลืองตัวเหลือง เบื่ออาหารมาก หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มือเท้าเย็นชืด มีเหงื่อออกและท่าทางไม่สบายมาก
    มีจุดแดงจ้ำเลือดขึ้นตามตัว
    มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย เช่น

    ปิดฝาโอ่งน้ำหรือภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงเล็ดลอดเข้าไปวางไข่ได้ ด้วยฝาอะลูมิเนียม ผ้า ตาข่ายไนล่อน หรือวัสดุอื่น
    เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 7 วัน สำหรับแจกันพลูด่างต้องใช้น้ำชะล้างไข่หรือลูกน้ำที่เกาะติดตามรากพลูด่างและข้างในแจกัน
    เปลี่ยนน้ำในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำเดือดลงไปในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำส้มสายชู ผงซักฟอก หรือเกลือแกงในน้ำที่อยู่ในจานรองตู้ (ใช้เกลือขนาด 2 ช้อนชา/น้ำ 1 แก้ว)
    จานรองกระถางต้นไม้ ควรใส่ทรายธรรมดาให้ลึก 3 ใน 4 ส่วนของจานขนาดใหญ่ หรือเทน้ำที่ขังอยู่ในจานขนาดเล็กทิ้งทุก 7 วัน
    ควรเก็บกระป๋อง ฝาขวด (ฝาเบียร์) กะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หรือสิ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้าน โรงเรียน และแหล่งชุมชน ทำลายหรือฝังดินให้หมด
    ยางรถยนต์เก่าถ้าไม่โยนทิ้งควรหาทางปกคลุม หรือเจาะรูระบายไม่ให้น้ำขัง หรือนำมาทำเป็นที่ปลูกต้นไม้หรือพืชผักสวนครัว เครื่องใช้ (เช่น ที่ทิ้งขยะ เก้าอี้) แต่จะต้องดัดแปลงยางรถยนต์ให้ขังน้ำไม่ได้
    ปรับพื้นบ้านและสนามอย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อที่มีน้ำขังได้
    กำจัดลูกน้ำยุงลายด้วยการใส่ทรายอะเบต (abate)* ลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำทุกชนิด
    เลี้ยงปลาหางนกยูงไว้กินลูกน้ำในภาชนะที่ใส่น้ำสำหรับใช้ (ไม่ใช่น้ำสำหรับบริโภค) ในอ่างบัว หรืออ่างปลูกต้นไม้น้ำ โดยใส่ปลาหางนกยูง 2-10 ตัวต่อภาชนะ ควรใส่เฉพาะปลาตัวผู้เพื่อคุมปริมาณปลาหางนกยูง

2. หาวิธีป้องกันอย่าให้ยุงลายกัด ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เช่น ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเวลาออกนอกบ้าน, อยู่ในห้องที่มีมุ้งลวด หรือให้เด็กเล็กนอนกางมุ้ง, ใช้ยาทากันยุงทาตามตัวเวลาอยู่ในที่ที่มียุง เป็นต้น

3. ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันโรคไข้เลือดออก มีการรายงานว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนจนครบจำนวน 3 เข็ม (ซึ่งแต่ละเข็มห่างกัน 6 เดือน) สามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้เป็นระยะเวลา 5-6 ปี โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้จากเชื้อเด็งกีทั้ง 4 สายพันธุ์ได้ราวร้อยละ 65 และลดความรุนแรงของโรคได้ราวร้อยละ 93 ทั้งนี้ แพทย์จะฉีดให้เฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อน

สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อนแพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากเมื่อฉีดไปแล้ว หากมีการติดเชื้อเด็งกี มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกที่รุนแรง และการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

เนื่องจากวัคซีนไข้เลือดออกยังมีราคาแพง และมีข้อระมัดระวังในการใช้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตัดสินใจในการฉีดวัคซีนชนิดนี้

*ใส่ทรายอะเบต (abate) ชนิด 1% ในอัตราส่วน 10 กรัม/น้ำ 100 ลิตร (ตุ่มมังกรขนาด 8 ปีบ ใช้อะเบต 2 ช้อนชา ตุ่มซีเมนต์ขนาด 12 ปีบ ใช้อะเบต 2.5 ช้อนชา) ควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน น้ำที่ใส่ทรายอะเบตสามารถใช้ดื่มกินได้อย่างปลอดภัย


ข้อแนะนำ

1. ไข้เลือดออกมักแยกออกจากไข้หวัดได้ โดยที่ไข้เลือดออกมักไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล อาจมีไข้สูงหน้าแดง ตาแดง หรือมีผื่นขึ้นคล้ายหัด แต่แยกออกจากหัดได้ โดยหัดจะมีน้ำมูกและไอมากและตรวจพบจุดค๊อปลิก

นอกจากนี้อาการไข้สูงโดยไม่มีน้ำมูก ยังอาจทำให้ดูคล้ายไข้ผื่นกุหลาบในทารก ไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ มาลาเรีย ตับอักเสบจากไวรัสระยะแรก เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น (ตรวจอาการไข้)

ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี อาจมาด้วยอาการไข้สูงร่วมกับชักก็ได้

ดังนั้นในช่วงฤดูฝนหรือในช่วงที่มีการระบาดของไข้เลือดออก ถ้าพบผู้ที่มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไม่ว่าเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ ควรทำการทดสอบทูร์นิเคต์ หรือตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ไข้เลือดออกทุกราย

2. ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ

ประมาณร้อยละ 70-80 ของผู้ที่เป็นไข้เลือดออก จะมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เองภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะช็อกก็เพียงพอ ไม่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ไม่ต้องฉีดยาให้น้ำเกลือ หรือให้ยาพิเศษแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์

ประมาณร้อยละ 20-30 ที่อาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออก ซึ่งก็มีทางรักษาให้หายได้ด้วยการให้น้ำเกลือหรือให้เลือด มีเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นอาจรุนแรงมากจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจมีอัตราตายสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ

3. ระยะวิกฤติของโรคนี้คือวันที่ 3-7 ของไข้ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออกได้ ดังนั้นจึงควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าพ้นระยะนี้ไปได้ก็ถือว่าปลอดภัย

4. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออกในระยะแรก ถ้ามีอาการปวดท้อง อาเจียนมาก หรือเบื่ออาหาร (ดื่มน้ำได้น้อย) อาจมีภาวะช็อกตามมาได้ ดังนั้นถ้าพบอาการเหล่านี้ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรพยายามให้ดื่มน้ำให้มาก ๆ ถ้าดื่มไม่ได้ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

5. เนื่องจากเชื้อไข้เลือดออกมีอยู่หลายชนิด ดังนั้นคนเราจึงอาจติดเชื้อไข้เลือดออกได้หลายครั้ง แต่ส่วนมากจะมีอาการคล้ายไข้หวัด แล้วหายได้เอง ส่วนน้อยที่อาจเป็นรุนแรงถึงช็อก และแต่ละคนจะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรงเพียงครั้งเดียว (หรืออย่างมากไม่ควรเกิน 2 ครั้งในชั่วชีวิต) ที่จะเป็นรุนแรงซ้ำ ๆ กันหลายครั้งนั้นนับว่ามีน้อยมาก

6. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออก สามารถให้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ แต่ควรแยกแยะอาการตัวเย็นจากยาลดไข้ให้ออกจากภาวะช็อก กล่าวคือ ถ้าตัวเย็นเนื่องจากยาลดไข้ ผู้ป่วยจะดูสบายดีและหน้าตาแจ่มใส แต่ถ้าตัวเย็นจากภาวะช็อก ผู้ป่วยจะซึมหรือกระสับกระส่าย

อย่างไรก็ตาม ควรย้ำให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่าการใช้ยาลดไข้อาจไม่ทำให้ไข้ลด ถ้าไข้ไม่ลดก็ให้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น อย่าให้พาราเซตามอลเกินขนาดที่กำหนด ถ้าให้มากไปหรือถี่เกินไป อาจมีพิษต่อตับถึงขั้นอันตรายได้ และอย่าหันไปใช้ยาลดไข้ชนิดอื่น เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยี่ห้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ประกอบด้วยยาพาราเซตามอลล้วน ๆ (โดยอ่านดูฉลากยาให้แน่ใจ) เพราะยาแก้ไข้อื่น ๆ อาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยไข้เลือดออกได้

7. ในรายที่จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ควรให้ด้วยความระมัดระวัง อย่าให้น้อยไปหรือมากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะวิกฤติประมาณ 24-48 ชั่วโมง จำเป็นต้องตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต อย่างใกล้ชิด และปรับปริมาณและความเร็วของน้ำเกลือที่ให้ตามความรุนแรงของผู้ป่วย ต้องระวังการให้น้ำเกลือมากหรือเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ เป็นอันตรายได้

15
ปัญหาจากการให้อาหารสายยางที่ต้องระมัดระวัง

การให้อาหารทางสายยาง ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถกลืนอาหารได้ปกติหรือมีภาวะการเจ็บป่วยบริเวณลำคอ ซึ่งต้องบอกว่าโดยปกติแล้วร่างกายเรามีความต้องการสารอาหาร เพื่อที่จะได้ขับเคลื่อนร่างกายต่อไปได้ เช่นเดียวกับผู้ป่วยก็มีความต้องการสารอาหารเหมือนกันและถ้าหากร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอก็อาจจะส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารและอาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาได้ และที่สำคัญที่สุด ผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยางนั้น จะต้องได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่สามารถกลืนอาหารได้ตามปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามมา การให้อาหารทางสายยาง หลายคนเคย ได้ยินหรือเคยเห็นตามโรงพยาบาล หรือตามบ้านที่มีผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ซึ่งผู้ป่วยเหล่านั้น ถึงแม้จะไม่รู้จักตัวหรือไม่สามารถกลืนอาหารได้ ก็ยังต้องการสารอาหารที่จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หลายคนก็มีผู้ป่วยที่ต้องดูแลอยู่ที่บ้านและต้องให้อาหารทางสายยาง

ซึ่งการให้อาหารทางสายยาง จำเป็นจะต้องมีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วย เพราะถ้าหากผู้ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องของการให้อาหารทางสายยาง อาจจะทำให้เกิดปัญหาและเป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยได้ ดังนั้น ผู้ดูแลจะต้องมีความรู้ ความสามาร ถในการให้อาหารทางสายยาง รู้จักวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันถ่วงที หากเกิดปัญหาระหว่างการให้อาหารทางสายยาง เช่น เกิดการติดขัดของสายยางให้อาหาร ผู้ป่วยเกิดสำลักอาหารระหว่างการให้อาหาร ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยในการให้อาหารทางสายยาง สำหรับวันนี้ ทางเราจะม าพูดถึงปัญหาจากการให้อาหารทางสายยางที่ผู้ดูแลควรจะระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาที่รุนแรงตามมา

สำหรับปัญหาที่มักพบได้บ่อยที่เกิดระหว่างการให้อาหารทางสายยาง ก็คือ การติดขัดของสายยางให้อาหาร ซึ่งปัญหาในข้อนี้มักจะเกิดเนื่องจากอาหารปั่นผสมที่นำมาให้ผู้ป่วยมีความหนืดเกินไป ทำให้อาหารเกิดการติดขัดอยู่ใยสายยาง ดังนั้น อาหารที่จะนำมาให้ผู้ป่วยจะต้องผ่านการควบคุมของนักโภชนาการ เพราะสูตรอาหารนั้น นักโภชนาการจะเป็นผู้คำนวณในเรื่องของปริมาณน้ำและวัตถุดิบที่ทำให้อาหารปั่นผสมมีความเหลวที่พอดี สามารถเคลื่อนผ่านสายยางได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เกิดการติดขัด และที่สำคัญขนาดของสายยางในการให้อาหารทางสายยางจะต้องมีความพอดี การปล่อยอาหารเข้าสู่สายยางก็ต้องอยู่ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อที่จะให้อาหารได้เคลื่อนเข้าสู่กระเพาะอาหารได้อย่างไม่ติดขัด วิธีที่ป้องกันปัญหาที่เกิดจากการติดขัดของสายยางให้อาหารที่ดีที่สุดคือ อาหารจะต้องมีความเหลวที่พอดีนั่นเอง ต่อมาคือปัญหาการสำลักอาหารของผู้ป่วยขณะให้อาหารทางสายยาง ปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาที่มักพบได้บ่อยและผู้ดูแลจะต้องระมัดระวังให้มากที่สุด เพราะการส ำลักอาหารของผู้ป่วย เป็นเรื่องที่อันตรายมาก อาจจะทำให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

และถ้าหากอาหารเข้าสู่ปอดก็อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ นอกจากนี้ การสำลักอาหารหรืออาเจียนในขณะที่กำลังให้อาหารทางสายยางจะทำให้ปลายสายให้อาหารเลื่อนออกมาอยู่ในหลอดอาหารหรือเข้าไปในหลอดลม ดังนั้น ผู้ดูแลจะต้องทดสอบปลายสายก่อนให้อาหารทุกครั้ง เพื่อป้องกันการสำลักอาหารเหลวเข้าไปในหลอดลมหรือหลอดอาหาร และถ้าผู้ป่วยยังมีอาหารสำลักอาหารอยู่ ควรหยุดการให้อาหารทันที เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การสำลักอาหารในขณะที่ให้อาหารทางสายยาง ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการค่อยๆให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วย เพราะการใ ห้อาหารทางสายเร็วเกินไป อาจจะทำให้เกิดการหดเกร็งของกระเพาะอาหาร อาจทำให้ผู้ป่วยสำลักอาหารได้นั่นเอง

ปัญหาที่กล่าวมาทั้งสองเคสนี้ ถือเป็นปัญหาที่มักพบได้บ่อย และผู้ดูแลควรที่จะระมัดระวังให้มากที่สุด เพราะถ้าหากแก้ไขปัญหาไม่ทันถ่วงทีอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยได้ ดังนั้น การให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วยจึงมีความสำคัญมากที่จะต้องทำโดยผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญ รวมไปถึง ขั้นตอนการประกอบอาหารทางสายยาง ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะต้องควบคุมและออกแบบสูตรอาหารโดยนักโภชนาการที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของอาหารทางสายยาง เพื่อที่จะให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและปลอดภัย ทางเรามีทั้งนักโภชนาการที่มีความงามเชี่ยวชาญ คอยดูแลทุกขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การประกอบอาหาร การคำนวณสูตรอาหาร เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีคุณภาพและสะอาด ปลอดภัยมากที่สุด

หน้า: [1] 2 3 ... 20